วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทฤษฎีว่าด้วยความจริง

การที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่ น่าเชื่อถือหรือไม่ อาจใช้ทฤษฎีว่าด้วยความจริงเป็นเครื่องมือในการตัดสิน และทฤษฎีว่าด้วยความจริง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีสหนัย (Inherence Theory) คือ ทฤษฎีที่ถือว่า การที่จะถือว่า ข้อความใดข้อความหนึ่งเท็จจริงหรือไม่ ให้ดูว่าข้อความนี้สอดคล้องกับข้อความอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเดียวกันหรือไม่ ถ้าสอดคล้องกัน ข้อความนั้นก็เป็นจริง ถ้าขัดแย้งกันข้อความนั้นก็ไม่เป็นจริง เช่นถ้ามีใครพูดว่า "นายแดงต้องตายแน่" เราก็ต้องยอมรับคำพูดนี้จริง เพราะความรู้เดิมมีอยู่ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องตาย แดงก็ต้องกตายเพราะแดงเป็นสิ่งที่มีชีวิต ทฤษฎีนี้จึงเกี่ยวข้องกับวิธีหาความรู้แบบนิรนัย (Deduction)
2. ทฤษฎีสมนัย (Correspondence Theory) คือทฤษฎีที่ถือว่า การที่จะถือว่าความรู้ใดเป็นความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงก็ต่อเมื่อความรู้นั้นตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ เช่น การที่เราจะยอมรับว่า "น้ำบริสุทธิ์เดือดที่อุณหภูมิ 100 องศา" ก็ต่อเมื่อเราได้ทดลองเอาน้ำไปใส่กาต้มดู ดังนั้นสิ่งที่ค้ำประกันว่า ความรู้ถูกต้องเป็นจริง คือการที่ความรู้นั้นตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ทฤษฎีนี้จึงเกี่ยวข้องกับการหาความรู้แบบอุปนัย (Induction)
3. ทฤษฎีปฏิบัตินิยม (Pragmatism) คือทฤษฎีที่ถือว่า เกณฑ์ตัดสินความจริง คือ การใช้งานได้ ความสำเร็จประโยชน์ในทางปฏิบัติ ความมีอัตถประโยชน์ คือ พิจารณาจากความสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ สิ่งที่เป็นจริงคือ สิ่งที่มีประโยชน์ ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทฤษฎีปฏิบัตินิยมเกิดจากความบกพร่องของทั้งสองทฤษฎีแรกข้างต้น กล่าวคือ ทฤษฎีสหนัย มีความบกพร่องตรงที่ว่า ถ้าความรู้เดิมผิดพลาด ความรู้ที่เราได้รับมาใหม่ ก็จะต้องผิดพลาดด้วย ทฤษฎีสมนัยมีความบกพร่องตรงที่ว่า ในโลกนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่คิดว่าเป็นความจริงในขณะนี้อาจจะไม่ตรงกับคามจริงในอนาคตก็ได้ ดังนั้นจึงมีผู้เสนอให้ใช้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมแทน
ข้อควรระลึกเสมอก็คือในบรรดาทฤษฎีทั้งสามนี้ ไม่มีทฤษฎีใดสมบูรณ์แน่นอนตายตัว ขนาดที่ว่าสามารถจะนำไปใช้ได้กับทุกกรณีทุกที่ทุกสถานการณ์ ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีล้วนมีข้อจำกัดในการนำไปใช้ เช่น ทฤษฎีสหนัยใช้ได้ดีกับความจริงทางคณิตศาสตร์ ส่วนทฤษฎีสมนัยนั้นใช้สำหรับตรวจสอบความถูกต้องหรือความจริงทางวิทยาศาสตร์ และถ้ายังไม่พอใจวิธีการ ทั้งสองนั้นก็น่าจะลองหันมาใช้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมดูได้ เพราะทฤษฎีปฏิบัตินิยมเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในทางศาสนา และคำสอนในทางศาสนา หากไม่มีการปฏิบัติย่อมจะไม่เกิดผลใด ๆ ขึ้น ตัวอย่างเช่น ในทางพระพุทธศาสนามีคำสอนที่นำชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า "นิพพาน" หรือ "อรหันต์" ใครก็ตามที่บรรลุถึงจุดนี้ได้ จะต้องถือปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมรรคมีองค์ 8 โดยเคร่งครัด ตามหลักมัฌชิมาปฏิปทา หาไม่เช่นนั้น การศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ปฏิบัติ ก็จะได้เพียงเรียนรู้จดจำ จะไม่มีโอกาสเข้าถึงสัจจะคือ นิพพาน ตามอุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนาได้เลย
magic

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คำสอนสำหรับผู้บำเพ็ญโยคะ (สัตยา ไสบาบา)

(60) วินัยของตนเองเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างประสบ ความสำเร็จ ชีวิตที่มีวินัยทำให้มนุษย์สามารถได้รับความสงบสุขสันติที่เป็นนิรันดรได้ ถ้าปราศจากสันติก็ไม่สามารถมีความสุขได้ สันติเป็นธรรมชาติของอาตมัน ซึ่งจะอยู่ ร่วมกับหัวใจที่บริสุทธิ์สะอาดเท่านั้น สันติจะไม่บังเกิดในหัวใจที่เต็มไปด้วยกิเลส และความโลภ สันติเป็นลักษณะพิเศษของเหล่าโยคี ฤาษี และสัตบุรุษทั้งหลาย
(61) สิ่งที่ผู้บำเพ็ญโยคะจักต้องปฏิบัตินั้นได้แก่
ประการที่หนึ่ง การปรับปรุงจิตให้เกิด ‘วิเวก’ ซึ่งหมายถึง ความ สามารถในการที่จะวิเคราะห์ระหว่างความถาวรยืนนานกับความไม่แน่นอน และ ความสามารถที่จะตัดสินว่าอะไรทรงคุณค่าอย่างแท้จริง
ประการที่สอง ความเพียรพยายามอย่างแน่วแน่ ในการฝึกฝนจน เชี่ยวชาญ สามารถจำแนกได้ถึงสิ่งที่ทรงคุณค่าและเป็นความจริงแท้
ประการที่สาม มีปณิธานหนักแน่น ในการเพียรพยายามอย่างไม่ท้อ ถอย ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขัดขวางหนทางปฏิบัตินั้นด้วยประการใดก็ตาม
การปฏิบัติทั้งสามนี้เรียกว่า “ตบะอย่างแท้จริง” การบำเพ็ญตบะ เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสันติและความปิติสุข
(62) ความหนักแน่นและความไม่หวั่นไหวย่อมเป็นคุณสมบัติที่ เป็นประโยชน์และสำคัญยิ่งในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในใจ และเอาชนะ ความขัดแย้งนี้ เธอต้องมีความสงบสุขุมและเยือกเย็น นอกจากนั้นต้องมีความ กล้าหาญ ความฉลาด ความพากเพียร เพื่อเสริมสร้างจิตใจให้แข็งแกร่งมั่นคง
(63) ใบหน้าที่อิ่มเอิบ ดวงตาทอประกาย อากัปกิริยาที่เข้มแข็งมุ่งมั่น วาจาสุภาพ จิตใจที่กว้างขวาง ใจที่เป็นกุศลมีคุณความดีที่มั่นคง เหล่านี้เป็น คุณสมบัติของผู้ที่มีความก้าวหน้าทางจิต
(64) ลุกขึ้นเถิด เธอผู้กระหายในการฝึกฝนทางจิตเพื่อรู้จักตน เอง! จงทุ่มเทตนเองในการฝึกฝนปฏิบัตินั้น จงเสริมพลังศรัทธาของเธอให้กล้าแข็ง จงหมั่นปลูกฝังศรัทธาไว้ จงทำให้ศานติเป็นสมบัติอันมั่นคงของเธอ จงอิ่มเอิบกับ ชีวิตด้วยความปิติสุข จงชื่นชมยินดีกับจินตภาพของอาตมัน จงลุกขึ้นอย่ามัวรีรอ ลังเล!
(65) มนุษย์จะสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อใจได้ถูก ควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น ดังนั้นความยากแค้นลำเค็ญต่างๆ รวมทั้ง ความปวดร้าว ความระแวงสงสัย ความขัดแย้งในใจต่างๆ จะสิ้นสุดลง มนุษย์จัก สามารถเอาชนะความโศก ความหลงผิด และความวิตกกังวลได้จนสิ้น เขาจะสถิต อยู่ในศานติอันเงียบสงัด
(66) จงเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า เธอคือจักรวาลและอาตมันที่เป็น อมตะ สิ่งนี้จะช่วยให้การฝึกฝนทางจิตของเธอเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าหากเธอหลง ละเมอว่า ตัวเธอคือร่างกาย คือประสาทสัมผัส คืออัตตาที่เป็นปัจเจกแล้วไซร้ การ ฝึกฝนทางจิตของเธอจะเป็นเหมือนผลไม้ที่มีหนอนบ่อนไส้ ไม่มีวันเจริญเติบโต และสุกได้ และความหวานแห่งผลพวงของความสุขอันเป็นนิรันดรจะไม่มีทางได้รับ เลยแม้จะผ่านไปอีกกี่ชาติก็ตาม
(67) อะไรคือโมกษะหรือความหลุดพ้นที่แท้จริง? โมกษะคือศานติ ที่ได้รับจากการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด โดยการปล่อยวางไม่ยึดมั่นกับสิ่งที่ได้ พบเห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้เรียนรู้ ได้อ่าน ได้กระทำ หรือกำลังกระทำอยู่
(68) อนิจจา...มนุษย์ได้ลืมเลือนภารกิจหน้าที่ที่เขาต้องมาสู่ภพนี้ เขาไม่ยอมตอบคำถามที่ว่า เขามาจากที่ใด เขาหลับตาไม่ยอมรับรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน สติปัญญาความเฉลียวฉลาดของเขาถูกชักจูงไปสู่ความสนุกสนานรื่นเริง รวมทั้งสิ่ง อำนวยความสะดวกสบายทั้งปวง จนเขาสูญเสียพลังอำนาจทั้งปวงของเขาไป ช่างเป็น โศกนาฏกรรมอะไรเช่นนี้
(69) แรกทีเดียว เธอต้องทราบภูมิลำเนาที่แท้จริงของเธอก่อน
เธอเป็นใคร? อาตมัน
เธอมาจากที่แห่งใด? จากอาตมัน
เธอกำลังจะไปไหน? ไปสู่อาตมัน
เธอจะอยู่ที่นี่นานเท่าใด? นานเท่าที่เธอยังผูกพันอยู่กับกามทั้งปวง
เธออยู่ที่ไหน? อยู่ในที่ที่ไม่จริงแท้แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เธออยู่ในรูปของอะไร? อนัตตา
เธอผูกพันอยู่กับอะไร? กิจอันไม่จีรังยั่งยืน
ดังนั้น เธอควรทำเช่นใดหลังจากนี้? ต้องละวางสิ่งเหล่านั้นและเพียร พยายามปฏิบัติธรรมเพื่อหลอมรวมเข้ากับอาตมัน

magic

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

กาสะท้อน


ป้องกันคุณไสยต่างๆ สะท้อนคุณไสยกลับไปหาเจ้าของคุณไสย มีประสบการณ์ ทำเพื่อแจก ติดต่อที่วัดวิโรจนาราม
พระคาถากาสะท้อน
พุทธัง อะระหัง กัณหะ
ธัมมัง อะระหัง กัณหะ
สังฆัง อะระหัง กัณหะ
สัมมาทางไหน
สัมไปทางนั้น ฯ
ใช้ภาวนาปัดคุณไสยที่ผู้ถูกกระทำ สำหรับผู้ที่รู้ตัวว่าถูกคุณไม่ว่าคุณผ๊ คุณคน ใช้ภาวนาปัดออก ได้ผลแน่นอน
ภาวนาเรื่อย ใช้ในขณะนั่งสมาธิ (จารลงแผ่นทอง ทองแดง เงิน ผูกข้อมือ หรือแขวนคอติดตัวไว้ป้องกันและสะท้อนกลับ)magic

เศรษฐี ๖


จาร เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘๘ ปลุกเสก ๑๐๘ ครบ กระบวน magic

ลูกสวาท จารนะพุทธโธมหาละลวย และนะเทพลำจวนกวนจิตกวนใจ

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

พลังจิต คือ คลื่นของพลังความคิด

พื้นฐานของพลังจิตมาจากที่เดียวกัน เพียงอาจจะเรียกแตกต่างกันออกไป เช่นพลังกายทิพย์ พลังจักรวาล พลังชีวิต พลังชีวภาพ แต่ทั้งหมดแล้ว ก็มาจากพื้นฐานพลังจิตชนิดเดียวกัน เพียงแต่เราจะนำไปใช้ประโยชน์ในแบบไหน และจะตั้งชื่อพลังจิตชนิดนี้ว่าอะไรเท่านั้นเอง .....
เราสามารถนำพลังจิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในหลายด้าน และก็สามารถใช้ให้เกิดโทษได้ด้วยเช่นกัน
ทุกคนจะมีพลังของความคิดที่ดี และไม่ดีคลุมอยู่รอบ ๆ กาย ถึงเราอาจจะมองไม่เห็น แต่เราก็จะรู้สึกได้ เพราะจริง ๆ แล้วมนุษย์สื่อสารกันด้วยพลังจิตตลอดเวลา หรือที่เรียกว่ามีเซ๊นท์ (sense) นั่นเอง มนุษย์ทุกคนมีพลังจิตที่สื่อสารกันอยู่และจะสามารถรู้ได้ ว่าใครคิดดี หรือไม่ดี ชอบเรา หรือเกลียดเราได้
แต่ความรู้สึกนี้จะชัดเจนหรือไม่อยู่ที่ “ จิต ” ถ้าคนที่มีจิตดี นิ่งสงบ จะรับรู้กระแสจิตของความคิดผู้อื่นได้เร็วและค่อนข้างชัดเจน กว่าคนที่จิตฟุ้งซ่าน ลองสังเกตง่าย ๆ ว่า คนบางคน เราอยู่ใกล้พูดคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ปลอดโปร่ง โล่งใจ เพราะคนผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกระแสจิตที่ดี มีความเมตตา ไม่คิดร้ายใคร พลังจิตจึงเป็นกระแสที่สว่างใสและอบอุ่นปลอดภัย แม้แต่เทวดาก็อยากมาอารักษ์ สัตว์ก็ยังอยากอยู่ใกล้
แต่กับอีกคนที่อยู่ใกล้แล้วกลับรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ เพราะคนผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกระแสจิตพิฆาต ชอบคิดร้าย อาฆาต พยาบาทและเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เสมอ พลังจิตจึงเป็นกระแสแบบทิ่มแทง ทำให้คนที่อยู่ใกล้รับถึงกระแสนั้น จึงก่อให้เกิดความอึดอัด ไม่ไว้วางใจ หวาดกลัว และไม่อยากเข้าใกล้ แม้แต่เทวดาก็ส่ายหน้า หมูหมาก็วิ่งหนี
คนที่มีคลื่นพลังจิตชนิดบวกอยู่สูง จะเป็นประเภทของคนที่ชอบพึ่งพาตัวเอง มีใจเปิดกว้าง ไม่คิดร้ายใคร ให้อภัยผู้อื่นเสมอ มีความเมตตา และมองโลกในแง่ดี มีกำลังใจสูง ไม่ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาใด ๆ ก็จะไม่ย่อท้อ และไม่สูญเสียกำลังใจง่าย ๆ ทำให้สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อยู่เสมอ ๆ
บางคนหาวิธีสร้างเสน่ห์เมตตามหานิยมกันให้วุ่นวาย แต่เมตตามหานิยมที่คงกระพันอย่างแท้จริงแล้วอยู่ ที่ความคิดและจิตใจของเรานั่นเอง ถ้าเพียงแค่เราปรับความคิดให้คิดในแง่บวก คิดดีและใจกว้าง รู้จักให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นบ้าง เพราะเราเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยผิดพลาดมาก่อน เราก็ยังอยากได้รับการอภัยเลย เราก็ควรรู้จักการอภัยผู้อื่นเป็นนิสัยบ้าง เราก็จะได้สิ่งนั้นกลับคืน การให้อภัยเป็นการฝึกความใจกว้างและเชื่อมโยงอยู่ ในข้อของเมตตาบารมีด้วย
รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง จะทำให้เราได้สติในการทบทวนก่อนที่จะพูดหรือทำอะไรลง ไป ว่าจะไปกระทบใจเขาหรือไม่ ลองพูดให้ตัวเองฟังก่อนดีกว่าไม่ ว่าสิ่งที่เราจะพูดเราฟังแล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าเราฟังแล้วรู้สึกไม่ดี เราจะใช้วจีกรรมทำลายตัวเองและผู้อื่นให้เป็นกรรมต่อ กันทำไมและสิ่งที่ได้ตามมาคือเป็นการลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้มาก เพราะเรากำลังนึกถึงใจคนอื่นมากขึ้น แทนที่จะนึกถึงแต่ใจตัวเองอย่างที่เคยทำ และทำให้เกิดกระแสจิตที่อ่อนโยนและเมตตาต่อผู้อื่นมากขึ้น เป็นกระแสจิตที่ดี ทำให้เกิดเสน่ห์ต่อมหาชน คนรักใคร่และเกิดความเมตตา โดยไม่ต้องไปพึ่งพาเครื่องรางของขลังที่ไหนเลย
เราทุกคนย่อมสร้างความขลังให้เกิดกับตัวเองได้
เพียงแต่หมั่นเจิมจิตด้วยการคิดดี พูดดี ทำดี ในทุกวันเท่านั้นเอง .

จาก หนังสือธรรมะในจิต
ที่มา:
http://www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=22215
magic

กรรมวิธีสัมผัสรู้ด้วยพลังจิตของตนเอง

กรรมวิธีนี้ตระหนักถึงสมรรถนะในการหยั่งรู้ที่จะทำความรู้จักตัวตนโดยรวมและแต่ละองค์ประกอบ ซึ่งรวมไปถึงออร่าด้วยเป็นอย่างดี กรรมวิธีนี้ได้รับการออกแบบเพื่อที่จะกระตุ้นแหล่งพลังงานภายในที่ต้องการ เพื่อจะกระจายพลังนั้นออกไปสู่ออร่าของเรา ซึ่งในการนี้จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องออร่าของบุคคลและความสัมพันธ์ของมันที่มี มีวิธีสัมผัสดังต่อไปนี้
•การเตรียมตัว หาสถานที่ซึ่งคุณจะสามารถใช้เวลาในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกรรมวิธีนี้ได้นานประมาณ 30 นาที จากนั้นสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้เกิดขึ้น สำรวจความคิดและความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดอยู่ในจิตใจ
•ทำจิตให้ว่าง หลับตาลง สูดลมหายใจลึก ๆ 2 – 3 ครั้ง ค่อย ๆ ระบายลมหายใจออกช้า ๆ ขจัดความคิดวุ่นวายในสมองออกให้หมด
•สำรวจจิต มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังศูนย์กลางแห่งพลังงานที่อยู่ลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก ขณะนี้เมื่อความคิดได้เข้าไปรวมอยู่ภายในแล้ว คุณจะสัมผัสพลังงานที่หลั่งไหลออกมาจากแก่นกลางของออร่า พลังงานนั้นห่อหุ้มกายเนื้อของคุณด้วยรังสีทีสว่างเรือง
•สำรวจออร่า สร้างจินตนาการถึงออร่าและใช้จิตสำรวจ เริ่มจากรูปแบบของพลังงานที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะแล้วค่อย ๆ เลื่อนการสำรวจต่ำลงมาเรื่อย ๆ สังเกตความรู้สึกที่เกิดควบคู่มากับการสำรวจออร่าในครั้งนี้
•พิจารณาออร่า ในตอนต้นให้พิจารณาออร่าโดยรวมเสียก่อน จากนั้นจึงสำรวจเฉพาะบริเวณรวมไปถึงลักษณะของมันด้วย ให้ภาพจากจินตนาการเกี่ยวกับออร่านี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความรู้ที่จะเกิดขึ้นในจิต ควบคู่มากับการพิจารณาในขั้นตอนนี้
•เก็บข้อมูลภายใน ให้คุณเก็บข้อมูลจากประสบการณ์นี้ด้วยการใช้วิธีถ่ายรูปออร่าทางจิต แล้วเอาเก็บเข้าไว้ในแฟ้มที่มีอยู่ภายใจจิตของคุณ เพื่อประโยชน์สำหรับการใช้อ้างอิงต่อไปในอนาคต จบกระบวนการนี้ด้วยการยืนยันกับตนเองว่า .. ขณะนี้ฉันได้รับการเพิ่มพลังจิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังทางบวกแล้ว
การหยั่งรู้เกี่ยวกับเรื่องของออร่านั้น บางครั้งเราจะได้รับรายงานจากผู้รับการทดลองว่ามันจะเกิดขึ้นขณะที่จิตกำลังอยู่ในสภาวะที่แน่นอน ซึ่งรวมไปถึงสภาวะถอดกายทิพย์และการสะกดจิตด้วย
( กรรมวิธีนี้ถ้าใครเคยสนใจสมาธิ จะพบว่าเป็นแค่สมาธิเบื้องต้น อาศัยผลพลอยจากสมาธิมาใช้นั่นเอง ซึ่งได้ทั้งจาก กรรมฐาน40 และสติปัฏฐานควบคู่ไป : Amine )
การแปลความหมายจากสีในออร่า ในออร่าของมนุษย์นั้นจะไม่ถึงขาวสะอาดหรือดำมืดไปเสียทั้งหมด แต่จะมีบริเวณของสีขาวหรือสีดำปรากฏอยู่ตรงใดตรงหนึ่งในออร่านั้น สีทั้งสองนี้ปกติแล้วเราจะเห็นเป็นจุดของแสงสว่างหรือไม่ก็ดำมืดกว่าบริเวณอื่นนอกเหนือจากการให้สี ความเข้ม การแผ่กระจายของรัศมีและความชัดเจนของสีสันแล้ว ในออร่าก็ยังมีขนาดของการแผ่ขยายของรัศมีที่หลากหลายอีกด้วย บางครั้งเราจะมองเห็นสีรุ้งเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของออร่า โดยทั่วไปแล้วความเข้มกับการแผ่ขยายของสี เป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงพลังอันเต็มเปี่ยมที่มีอยู่ในพลังงานของออร่า ยิ่งมีความเข้มกับการแผ่ขนาดออกไปได้ไกลเพียงใด สีก็จะยิ่งมีอิทธิพลและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเท่านั้นการศึกษาค้นคว้าของเราจะบ่งบอกได้เพียงแค่ 10 สี จึงมีความเป็นไปได้ที่ว่ายังมีสีและการจัดระดับของสีอีกไม่น้อยที่เรายังไม่สามารถนำมารวมไว้ได้อีก
สีรุ้ง
รูปแบบของสีรุ้งนั้นเป็นการรวมตัวกันของสีสันที่หลากหลาย โทนสีจะนุ่มนวล ปรากฏเป็นโค้งรุ้งที่ครอบคลุมอยู่ทั่วร่างหรืออาจจะเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น อาจจะเพียงแค่ส่วนศีรษะกับไหล่ทั้งสองข้าง เป็นต้น ปกติแล้วสีของสายรุ้งจะสว่างสดใสแผ่รัศมีออกไปได้กว้าง ออร่าสีรุ้งบ่งบอกถึงส่วนผสมของบุคลิกภาพส่วนตนในทางบวก อาทิ เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความรู้อันเกิดจากแรงบันดาลใจ มีคุณธรรม มีเมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี และรู้จักตนเองดีบุคคลที่มีออร่าสีรุ้งสว่างสดใส มักเป็นผู้ที่มีแนวโน้มว่าเป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดในโลก เมื่ออยู่ในกลุ่ม พวกเขาจะอยู่ในระดับผู้นำและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน รวมไปถึงชีวิตส่วนตัวด้วยขณะที่ออร่าสีรุ้งเป็นเครื่องหมายของความสูงส่งที่จะปรากฏในบุคลิกภาพของบุคคล แต่มันก็เป็นสีที่มีความอ่อนไหว พร้อมที่จะเกิดความไม่สมดุลหรือมีสีที่จืดจางลงได้โดยง่าย ถ้ามีสีอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างกระทันหัน อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง
สีเหลือง
เป็น 1 ในจำนวนสีที่เราจะพบในออร่ามนุษย์ได้มากที่สุด พบมากในบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถสูง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปัญญา ส่วนความกว้างของรัศมีที่แผ่ขยายออกไปบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์และสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ยิ่งออร่าสีเหลืองสว่างสดใสเพียงไร ก็ยิ่งสูงด้วยภูมิปัญญามากเพียงนั้น ยิ่งสีสามารถแผ่ออกไปได้ไกลเพียงไร ยิ่งแสดงว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความก้าวหน้าในสังคมมากเท่านั้นในการพิจารณาตำแหน่งออร่าสีเหลือง ถ้าสดใสปรากฏอยู่โดยรอบศีรษะแล้ว แสดงว่าบุคคลนั้นมีความคิดอ่านอันเป็นนามธรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหาและการใช้คำพูด ขณะที่ปรากฏอยู่รอบไหล่และบริเวณทรวงอก แสดงว่ามีความสามารถในการใช้ดวงตาประสานกับการใช้มือได้เป็นอย่างดี และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเครื่องยนต์กลไกออร่าสีเหลืองมักแสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลที่พึ่งพาได้ ให้ความเป็นมิตรกับทุกคนและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับบุคคลที่มีความสนใจในการช่วยเหลือสังคม เราจะพบว่าออร่าสีเหลืองแผ่กว้างออกไปยังบริเวณรอบนอกของออร่าด้วยสีเหลืองที่หม่นหมอง และขอบเขตที่จำกัดของการแผ่รัศมี มักแสดงถึงสภาวะจิตที่มีความตึงเครียด ก่อให้เกิดอิทธิพลทางลบต่อการทำหน้าที่ของสมองและเป็นอุปสรรคต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอีกด้วย[/glow]
สีฟ้า
สีฟ้าอ่อน มักจะสัมพันธ์กับความสมดุล ความเยือกเย็น สุขุม ความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมองโลกในแง่ดี มักพบในออร่าของบุคคลที่รู้จักคุณค่าของตนเอง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสีฟ้าเข้ม จะสัมพันธ์อยู่กับไหวพริบ สติปัญญาและการรู้จักควบคุมอารมณ์ มักพบในออร่าของบุคคลที่มีไหวพริบ มีความสามารถสูง ทั้งยังเป็นคนที่มีหลักการในตนเองด้วยสีฟ้าในออร่ามีการสนองตอบเป็นพิเศษต่อการทำสมาธิและการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายที่กระจายพลังงานสว่างสดใสเข้าไปในระบบออร่าสีฟ้าหม่นเกิดขึ้นที่ตรงบริเวณใดของออร่าก็ตาม คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการมองโลกในแง่ร้าย ความท้อแท้และความรู้สึกหวาดระแวง ซึมเศร้าอย่างรุนแรงหรือผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย
สีเขียว
บ่งบอกถึงพลังงานแห่งการบำบัดรักษา ความพยายามที่จะรู้จักตัวตนแท้จริงของตนเองและการยกระดับจิต โดยทั่วไปนั้น ออร่าของผู้ที่ประกอบอาชีพในการให้การบำบัดรักษา อาทิ แพทย์ พยาบาล และรวมไปถึงนักสังคมสงเคราะห์ทั้งหลายนั้น มักจะมีออร่าเขียวสดใสความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ นักพลังจิตบำบัดนั้นมักจะมีออร่าสีรุ้ง ซึ่งไม่ใคร่พบในออร่าของบุคคลที่มีอาชีพในการบำบัดแบบอื่นเท่าไรนักออร่าสีรุ้งที่มีสีเขียวเด่งกว่าสีอื่น มักจะมีความเกี่ยวเนื่องกับมิติลี้ลับในระดับจิตสำนึกอีก จึงพบว่าจะพบออร่าดังกล่าวนี้เกิดอยู่ในออร่าของนักมายากลอีกด้วยจากการศึกษาออร่าของนักศึกษาแพทย์ พบว่าออร่าของพวกเขามีสีเขียวเด่นกว่าสีอื่น ๆ ที่ปรากฏร่วมอยู่ด้วย ในขณะที่ออร่าของนักศึกษาพยาบาลพบว่า ไม่เพียงแต่ออร่าจะมีสีเขียวสดใส แต่ยังมีคลื่นความถี่สูงกว่าสีอื่น ๆ มากสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น ออร่าเขาจะมีบริเวณที่เป็นสีเขียวที่แผ่รัศมีออกไปกว้างมาก โดยที่สีเขียวสดมักจะปรากฏเป็นลำแสงพลังงานที่ห่อหุ้มร่างกายไว้สีเขียวที่หม่นหมอง เป็นสัญลักษณ์ของความอิจฉาริษยา ชอบใช้พฤติกรรมของตนเป็นมาตรฐานและมักจะกล่าวโทษผู้อื่นในความล้มเหลวของตนเองสีเขียวหม่นที่ค่อนไปทางสีเทานั้น มักเป็นลางบอกเหตุว่าจะพบเรื่องร้าย ๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวหรือเคราะห์ร้าย รวมไปถึงอาการเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรง
สีชมพู
เป็นสีแห่งวัยเยาว์ ความสุขสดชื่น อุดมคติ แม้จะปรากฏอยู่ท่ามกลางสีอื่น ๆ ที่หม่นมัวหรือจืดชืด แต่สีชมพูมักจะสว่างสดใสอย่างเห็นได้ชัดเสมอ เป็นสีแห่งความหวังและมีแนวโน้มไปในทางมั่นคงเนื่องจากสีชมพูจะพบในคลื่นความถี่สูงในออร่าที่บ่งบอกถึงความมีอายุยืน จึงมักสัมพันธ์กับความเป็นผู้มีอายุยืนยาวด้วยมักพบสีชมพูจำนวนมากในคนที่พร้อมจะอุทิศเวลาและทรัพย์สินในกรณีที่พวกเขาพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่มีค่าควรกระทำ เป็นบุคคลที่ปกติจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่พอประมาณ ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งความสนใจไปในเรื่องการอนุรักษ์งานศิลปะและงานด้านประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มากกว่า

สีน้ำตาล
สัมพันธ์อย่างมากในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกและวัตถุแร่ธาตุทางธรรมชาติ บ่งบอกอุปนิสัยว่าเป็นนักปฏิบัติ มั่นคงในจิตใจและรักอิสระ นักธรณีวิทยา นักนิเวศวิทยา นักโบราณคดี นักพัฒนาที่ดิน และผู้ที่ทำงานด้านการก่อสร้าง ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีน้ำตาลโดดเด่นส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่สนใจในกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง เช่น เดินทางไกล , ล่าสัตว์ ฯ มักไม่ใคร่พอใจในกิจวัตรที่จะต้องปฏิบัติเป็นประจำ รวมไปถึงชีวิตในชานเมือง บุคคลเหล่านี้จะใส่ใจเรื่องสุขภาพ การออกกำลังในโรงยิมหรอืกีฬาที่ใช้แร็กเกต เป็นกิจกรรมที่พวกเขาจะปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอภายหลังจากเสร็จงานประจำที่ทำอยู่ เมื่อถึงสุดสัปดาห์มักจะไปหาความสำราญตามชายหาดหรือภูเขา แม้จะมีสังคมที่ดี แต่ก็มีโลกส่วนตัวสูงมากเป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อในแรงบันดาลใจสูงมาก มีลักษณะชี้ขาดในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
สีม่วง
เป็นสีที่มีอยู่น้อยมากในออร่า สัมพันธ์กับปรัชญา มักเป็นผู้มีแนวคิดในทางสร้างสรรค์และมีความเป็นศิลปินอย่างเห็นได้ชัด มักมองในมุมกว้างมากกว่าจะสนใจในข้อเท็จจริงเฉพาะหรือเอาสถิติเข้ามาอ้าง เนื่องจากไม่เชื่อถือในตัวเลขสถิติอยู่แล้วบุคคลเหล่านี้มักมีสติปัญญาเหนือระดับอัตราเฉลี่ย มักเรียกร้องความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ชอบทำงานในแขนงที่ตนมีใจรักโดดเด่นในออร่าของผู้สอนศาสนา นักปรัชญาและนักทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นมันยังเป็นสีที่มั่นคงมาก ไม่ซีดหรือจืดจางได้ง่าย
สีส้ม
คนที่มีออร่าสีส้มเป็นหลัก มักพบในกลุ่มบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูง โดดเด่นในสังคม งานขายต่าง ๆ จะเชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่จะรักอิสระและมีธรรมชาติในการแข่งขันสูง เชี่ยวชาญในการใช้คารมเกลี้ยกล่อมราวจะชดเชยสิ่งที่เป็นปมด้อยของตน เมื่อใดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ บุคคลประเภทนี้จะมีการกล่าวแก้ข้อหาอย่างรุนแรงแม้บุคคลประเภทนี้จะยกย่องคุณค่าต่อปฏิสัมพันธ์ในสังคม แต่ก็ไม่อาจยึดมั่นได้ในระยะยาว เพราะบางครั้งพลังความคิดของเขาจะกระจัดกระจายทำให้พวกเขาไม่อาจทำงานสำคัญ ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้การที่สีส้มจืดจางลง บ่งถึงการมีความอดทนน้อย
สีเทา
ปกติแล้วจะปรากฏเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่มักบ่งถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ เช่น ความเจ็บป่วย ถ้าเมื่อใดมันขยายใหญ่เต็มออร่า อาจหมายถึงความตายได้ความป่วยไข้ที่ใกล้เข้ามา บอกได้จากสีเทาที่ปรากฏขึ้นตรงบริเวณในสุดของออร่าถ้ามีสีเทาเข้มเป็นบริเวณเล็ก ๆ นั่นคือการบ่งชี้ถึงปัญหาทางสุขภพาที่ร้ายแรงเป็นพิเศษ อาจเกี่ยวกับอวัยวะภายใน ขึ้นกับตำแหน่งที่สีเทาปรากฏด้วยถ้ามันปรากฏขึ้นบริเวณตอนบนของออร่า ขยายใหญ่ออกไปจนเลยขอบนอกของออร่า จะบ่งถึงข่าวร้าย อาจจะหมายถึงการสูญเสียบุคคล ผู้ที่เป็นที่รักหรือญาติสนิทมิตรสหาย
สีแดง
อาจจะปรากฏเป็นปื้นใหญ่ขึ้นมาอย่างฉับพลันหรืออาจจะเป็นขนาดเล็กและปรากฏชั่วคราว มักสัมพันธ์กับพฤติกรรที่เกิดอย่างหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ที่รุนแรง รวมไปถึงการระเบิดความโกรธอีกด้วย แม้ว่าจะเกิดชั่วคราว แต่เส้นใยสีแดงก็สามารถถักทอดเข้าไปในออร่าจนกลายเป็นรูปแบบถาวรของพฤติกรรมที่มีศักยภาพสูง แต่บ่อนทำลายพลังในตัวลง มักพบสีแดงเข้มในออร่าของผู้ที่กระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง รวมไปถึงวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปทางรุนแรงด้วย นอกเหนือจากนั้นยังพบได้ในออร่าของนักกีฬา เพราะจะบ่งถึงความชอบความตื่นเต้น กระวนกระวายและพฤติกรรมชอบเสี่ยงได้อีกด้วย

magic