tag:blogger.com,1999:blog-11026660593397223552024-02-06T20:14:20.696-08:00มายิกพลังเวทย์มนุษย์เราทุกคนมีพลังจิตคุ้มครองร่างกันทุกคนพลังนั้นอ่อน แข็งมากน้อยอยู่ที่แต่ละบุคคลฝึกฝน การรับส่งคลื่นพลังก็เช่นกันอยู่ที่ขั้วพลังนั้นๆคืออยู่ที่คนๆนั้นมีพลังจิตในแนวไหน รัก เมตตา เสน่ห์ มหานิยม และคงกระพันชาตรี มายิกพลังเวทย์คือพัลงแห่งเวทย์มนต์คาถาAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.comBlogger11125tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-62670055337904485972011-02-10T09:28:00.000-08:002011-02-10T09:33:24.361-08:00ทฤษฎีว่าด้วยความจริงการที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือไม่ น่าเชื่อถือหรือไม่ อาจใช้ทฤษฎีว่าด้วยความจริงเป็นเครื่องมือในการตัดสิน และทฤษฎีว่าด้วยความจริง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันดังต่อไปนี้<br /> 1. ทฤษฎีสหนัย (Inherence Theory) คือ ทฤษฎีที่ถือว่า การที่จะถือว่า ข้อความใดข้อความหนึ่งเท็จจริงหรือไม่ ให้ดูว่าข้อความนี้สอดคล้องกับข้อความอื่น ๆ ที่อยู่ในระบบเดียวกันหรือไม่ ถ้าสอดคล้องกัน ข้อความนั้นก็เป็นจริง ถ้าขัดแย้งกันข้อความนั้นก็ไม่เป็นจริง เช่นถ้ามีใครพูดว่า "นายแดงต้องตายแน่" เราก็ต้องยอมรับคำพูดนี้จริง เพราะความรู้เดิมมีอยู่ว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องตาย แดงก็ต้องกตายเพราะแดงเป็นสิ่งที่มีชีวิต ทฤษฎีนี้จึงเกี่ยวข้องกับวิธีหาความรู้แบบนิรนัย (Deduction)<br /> 2. ทฤษฎีสมนัย (Correspondence Theory) คือทฤษฎีที่ถือว่า การที่จะถือว่าความรู้ใดเป็นความรู้ที่ถูกต้องเป็นจริงก็ต่อเมื่อความรู้นั้นตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ เช่น การที่เราจะยอมรับว่า "น้ำบริสุทธิ์เดือดที่อุณหภูมิ 100 องศา" ก็ต่อเมื่อเราได้ทดลองเอาน้ำไปใส่กาต้มดู ดังนั้นสิ่งที่ค้ำประกันว่า ความรู้ถูกต้องเป็นจริง คือการที่ความรู้นั้นตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ทฤษฎีนี้จึงเกี่ยวข้องกับการหาความรู้แบบอุปนัย (Induction)<br /> 3. ทฤษฎีปฏิบัตินิยม (Pragmatism) คือทฤษฎีที่ถือว่า เกณฑ์ตัดสินความจริง คือ การใช้งานได้ ความสำเร็จประโยชน์ในทางปฏิบัติ ความมีอัตถประโยชน์ คือ พิจารณาจากความสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติ สิ่งที่เป็นจริงคือ สิ่งที่มีประโยชน์ ปฏิบัติแล้วได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทฤษฎีปฏิบัตินิยมเกิดจากความบกพร่องของทั้งสองทฤษฎีแรกข้างต้น กล่าวคือ ทฤษฎีสหนัย มีความบกพร่องตรงที่ว่า ถ้าความรู้เดิมผิดพลาด ความรู้ที่เราได้รับมาใหม่ ก็จะต้องผิดพลาดด้วย ทฤษฎีสมนัยมีความบกพร่องตรงที่ว่า ในโลกนี้มีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่คิดว่าเป็นความจริงในขณะนี้อาจจะไม่ตรงกับคามจริงในอนาคตก็ได้ ดังนั้นจึงมีผู้เสนอให้ใช้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมแทน<br /> ข้อควรระลึกเสมอก็คือในบรรดาทฤษฎีทั้งสามนี้ ไม่มีทฤษฎีใดสมบูรณ์แน่นอนตายตัว ขนาดที่ว่าสามารถจะนำไปใช้ได้กับทุกกรณีทุกที่ทุกสถานการณ์ ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีล้วนมีข้อจำกัดในการนำไปใช้ เช่น ทฤษฎีสหนัยใช้ได้ดีกับความจริงทางคณิตศาสตร์ ส่วนทฤษฎีสมนัยนั้นใช้สำหรับตรวจสอบความถูกต้องหรือความจริงทางวิทยาศาสตร์ และถ้ายังไม่พอใจวิธีการ ทั้งสองนั้นก็น่าจะลองหันมาใช้ทฤษฎีปฏิบัตินิยมดูได้ เพราะทฤษฎีปฏิบัตินิยมเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในทางศาสนา และคำสอนในทางศาสนา หากไม่มีการปฏิบัติย่อมจะไม่เกิดผลใด ๆ ขึ้น ตัวอย่างเช่น ในทางพระพุทธศาสนามีคำสอนที่นำชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ ที่เรียกว่า "นิพพาน" หรือ "อรหันต์" ใครก็ตามที่บรรลุถึงจุดนี้ได้ จะต้องถือปฏิบัติตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมรรคมีองค์ 8 โดยเคร่งครัด ตามหลักมัฌชิมาปฏิปทา หาไม่เช่นนั้น การศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ปฏิบัติ ก็จะได้เพียงเรียนรู้จดจำ จะไม่มีโอกาสเข้าถึงสัจจะคือ นิพพาน ตามอุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนาได้เลย<br />magic<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-73042909646807471462010-12-16T16:17:00.000-08:002010-12-16T16:20:28.998-08:00คำสอนสำหรับผู้บำเพ็ญโยคะ (สัตยา ไสบาบา)(60) วินัยของตนเองเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินชีวิตอย่างประสบ ความสำเร็จ ชีวิตที่มีวินัยทำให้มนุษย์สามารถได้รับความสงบสุขสันติที่เป็นนิรันดรได้ ถ้าปราศจากสันติก็ไม่สามารถมีความสุขได้ สันติเป็นธรรมชาติของอาตมัน ซึ่งจะอยู่ ร่วมกับหัวใจที่บริสุทธิ์สะอาดเท่านั้น สันติจะไม่บังเกิดในหัวใจที่เต็มไปด้วยกิเลส และความโลภ สันติเป็นลักษณะพิเศษของเหล่าโยคี ฤาษี และสัตบุรุษทั้งหลาย<br /> (61) สิ่งที่ผู้บำเพ็ญโยคะจักต้องปฏิบัตินั้นได้แก่ <br /> ประการที่หนึ่ง การปรับปรุงจิตให้เกิด ‘วิเวก’ ซึ่งหมายถึง ความ สามารถในการที่จะวิเคราะห์ระหว่างความถาวรยืนนานกับความไม่แน่นอน และ ความสามารถที่จะตัดสินว่าอะไรทรงคุณค่าอย่างแท้จริง <br /> ประการที่สอง ความเพียรพยายามอย่างแน่วแน่ ในการฝึกฝนจน เชี่ยวชาญ สามารถจำแนกได้ถึงสิ่งที่ทรงคุณค่าและเป็นความจริงแท้<br /> ประการที่สาม มีปณิธานหนักแน่น ในการเพียรพยายามอย่างไม่ท้อ ถอย ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขัดขวางหนทางปฏิบัตินั้นด้วยประการใดก็ตาม<br />การปฏิบัติทั้งสามนี้เรียกว่า “ตบะอย่างแท้จริง” การบำเพ็ญตบะ เท่านั้นที่จะทำให้เกิดสันติและความปิติสุข<br /> (62) ความหนักแน่นและความไม่หวั่นไหวย่อมเป็นคุณสมบัติที่ เป็นประโยชน์และสำคัญยิ่งในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในใจ และเอาชนะ ความขัดแย้งนี้ เธอต้องมีความสงบสุขุมและเยือกเย็น นอกจากนั้นต้องมีความ กล้าหาญ ความฉลาด ความพากเพียร เพื่อเสริมสร้างจิตใจให้แข็งแกร่งมั่นคง<br /> (63) ใบหน้าที่อิ่มเอิบ ดวงตาทอประกาย อากัปกิริยาที่เข้มแข็งมุ่งมั่น วาจาสุภาพ จิตใจที่กว้างขวาง ใจที่เป็นกุศลมีคุณความดีที่มั่นคง เหล่านี้เป็น คุณสมบัติของผู้ที่มีความก้าวหน้าทางจิต<br /> (64) ลุกขึ้นเถิด เธอผู้กระหายในการฝึกฝนทางจิตเพื่อรู้จักตน เอง! จงทุ่มเทตนเองในการฝึกฝนปฏิบัตินั้น จงเสริมพลังศรัทธาของเธอให้กล้าแข็ง จงหมั่นปลูกฝังศรัทธาไว้ จงทำให้ศานติเป็นสมบัติอันมั่นคงของเธอ จงอิ่มเอิบกับ ชีวิตด้วยความปิติสุข จงชื่นชมยินดีกับจินตภาพของอาตมัน จงลุกขึ้นอย่ามัวรีรอ ลังเล!<br /> (65) มนุษย์จะสามารถรู้จักตนเองอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อใจได้ถูก ควบคุมไว้อย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น ดังนั้นความยากแค้นลำเค็ญต่างๆ รวมทั้ง ความปวดร้าว ความระแวงสงสัย ความขัดแย้งในใจต่างๆ จะสิ้นสุดลง มนุษย์จัก สามารถเอาชนะความโศก ความหลงผิด และความวิตกกังวลได้จนสิ้น เขาจะสถิต อยู่ในศานติอันเงียบสงัด<br /> (66) จงเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่า เธอคือจักรวาลและอาตมันที่เป็น อมตะ สิ่งนี้จะช่วยให้การฝึกฝนทางจิตของเธอเป็นไปได้ง่ายขึ้น ถ้าหากเธอหลง ละเมอว่า ตัวเธอคือร่างกาย คือประสาทสัมผัส คืออัตตาที่เป็นปัจเจกแล้วไซร้ การ ฝึกฝนทางจิตของเธอจะเป็นเหมือนผลไม้ที่มีหนอนบ่อนไส้ ไม่มีวันเจริญเติบโต และสุกได้ และความหวานแห่งผลพวงของความสุขอันเป็นนิรันดรจะไม่มีทางได้รับ เลยแม้จะผ่านไปอีกกี่ชาติก็ตาม<br /> (67) อะไรคือโมกษะหรือความหลุดพ้นที่แท้จริง? โมกษะคือศานติ ที่ได้รับจากการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด โดยการปล่อยวางไม่ยึดมั่นกับสิ่งที่ได้ พบเห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้เรียนรู้ ได้อ่าน ได้กระทำ หรือกำลังกระทำอยู่<br /> (68) อนิจจา...มนุษย์ได้ลืมเลือนภารกิจหน้าที่ที่เขาต้องมาสู่ภพนี้ เขาไม่ยอมตอบคำถามที่ว่า เขามาจากที่ใด เขาหลับตาไม่ยอมรับรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน สติปัญญาความเฉลียวฉลาดของเขาถูกชักจูงไปสู่ความสนุกสนานรื่นเริง รวมทั้งสิ่ง อำนวยความสะดวกสบายทั้งปวง จนเขาสูญเสียพลังอำนาจทั้งปวงของเขาไป ช่างเป็น โศกนาฏกรรมอะไรเช่นนี้<br /> (69) แรกทีเดียว เธอต้องทราบภูมิลำเนาที่แท้จริงของเธอก่อน <br />เธอเป็นใคร? อาตมัน <br />เธอมาจากที่แห่งใด? จากอาตมัน <br />เธอกำลังจะไปไหน? ไปสู่อาตมัน <br />เธอจะอยู่ที่นี่นานเท่าใด? นานเท่าที่เธอยังผูกพันอยู่กับกามทั้งปวง <br />เธออยู่ที่ไหน? อยู่ในที่ที่ไม่จริงแท้แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ <br />เธออยู่ในรูปของอะไร? อนัตตา <br />เธอผูกพันอยู่กับอะไร? กิจอันไม่จีรังยั่งยืน <br />ดังนั้น เธอควรทำเช่นใดหลังจากนี้? ต้องละวางสิ่งเหล่านั้นและเพียร พยายามปฏิบัติธรรมเพื่อหลอมรวมเข้ากับอาตมัน<br /><br />magic<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-91696284903281653662010-09-03T18:02:00.000-07:002010-09-03T18:25:58.836-07:00กาสะท้อน<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMl8tJkHzUsm0drpndjmCBvR9OZLXx5g5AyIs-SyNXatgygYe3zhSyb6EA9X_Ss_-AVpvpUS5PWMahzlyss3IFmyYDF3tGFaVJLBVcqVTUjUs2adzfiW-To1WWortYwRJEm3Z9LTbCDE4/s1600/100_1724.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMl8tJkHzUsm0drpndjmCBvR9OZLXx5g5AyIs-SyNXatgygYe3zhSyb6EA9X_Ss_-AVpvpUS5PWMahzlyss3IFmyYDF3tGFaVJLBVcqVTUjUs2adzfiW-To1WWortYwRJEm3Z9LTbCDE4/s320/100_1724.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5512862793395990098" /></a><br />ป้องกันคุณไสยต่างๆ สะท้อนคุณไสยกลับไปหาเจ้าของคุณไสย มีประสบการณ์ ทำเพื่อแจก ติดต่อที่วัดวิโรจนาราม<br /> พระคาถากาสะท้อน<br />พุทธัง อะระหัง กัณหะ<br />ธัมมัง อะระหัง กัณหะ<br />สังฆัง อะระหัง กัณหะ<br />สัมมาทางไหน<br />สัมไปทางนั้น ฯ<br />ใช้ภาวนาปัดคุณไสยที่ผู้ถูกกระทำ สำหรับผู้ที่รู้ตัวว่าถูกคุณไม่ว่าคุณผ๊ คุณคน ใช้ภาวนาปัดออก ได้ผลแน่นอน<br />ภาวนาเรื่อย ใช้ในขณะนั่งสมาธิ (จารลงแผ่นทอง ทองแดง เงิน ผูกข้อมือ หรือแขวนคอติดตัวไว้ป้องกันและสะท้อนกลับ)magic<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-67306455400259080442010-09-03T17:56:00.000-07:002010-09-03T18:01:32.490-07:00เศรษฐี ๖<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRsF776BVYXs2yY4F6lFQ7gUHH70CV8ts39bD54p1Xd9wIX63tRnDMzU5zH4c7ppAicbimuhGWP0BVCnDWJmPzmzMmAckP4hhygx1W4XUkatCNPWeKGUFslRn9ov7Slk0sGNCN7o7G4gY/s1600/100_1707.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRsF776BVYXs2yY4F6lFQ7gUHH70CV8ts39bD54p1Xd9wIX63tRnDMzU5zH4c7ppAicbimuhGWP0BVCnDWJmPzmzMmAckP4hhygx1W4XUkatCNPWeKGUFslRn9ov7Slk0sGNCN7o7G4gY/s320/100_1707.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5512856483754211890" /></a><br />จาร เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘๘ ปลุกเสก ๑๐๘ ครบ กระบวน magic<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-8827090241610169232010-09-03T17:38:00.000-07:002010-09-03T17:55:52.932-07:00ลูกสวาท จารนะพุทธโธมหาละลวย และนะเทพลำจวนกวนจิตกวนใจ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSF-mr8V1TqWkAvwI3W8IEDZVUfgihXOy8OBIP2R2N_JvVFBewcMHmZxYpQcPQf2TYVlW4xM7SHd_DfiXb6QDRyrOT6-nT4I8fOEqtuTNqDzEJWz4oSPjchyT6oeJX0BFZzSV6Fw6P2-E/s1600/100_1704.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSF-mr8V1TqWkAvwI3W8IEDZVUfgihXOy8OBIP2R2N_JvVFBewcMHmZxYpQcPQf2TYVlW4xM7SHd_DfiXb6QDRyrOT6-nT4I8fOEqtuTNqDzEJWz4oSPjchyT6oeJX0BFZzSV6Fw6P2-E/s320/100_1704.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5512854517374215314" /></a><div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-58886191493169867272010-07-21T06:58:00.000-07:002010-07-21T06:59:44.295-07:00พลังจิต คือ คลื่นของพลังความคิดพื้นฐานของพลังจิตมาจากที่เดียวกัน เพียงอาจจะเรียกแตกต่างกันออกไป เช่นพลังกายทิพย์ พลังจักรวาล พลังชีวิต พลังชีวภาพ แต่ทั้งหมดแล้ว ก็มาจากพื้นฐานพลังจิตชนิดเดียวกัน เพียงแต่เราจะนำไปใช้ประโยชน์ในแบบไหน และจะตั้งชื่อพลังจิตชนิดนี้ว่าอะไรเท่านั้นเอง .....<br />เราสามารถนำพลังจิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในหลายด้าน และก็สามารถใช้ให้เกิดโทษได้ด้วยเช่นกัน<br /> ทุกคนจะมีพลังของความคิดที่ดี และไม่ดีคลุมอยู่รอบ ๆ กาย ถึงเราอาจจะมองไม่เห็น แต่เราก็จะรู้สึกได้ เพราะจริง ๆ แล้วมนุษย์สื่อสารกันด้วยพลังจิตตลอดเวลา หรือที่เรียกว่ามีเซ๊นท์ (sense) นั่นเอง มนุษย์ทุกคนมีพลังจิตที่สื่อสารกันอยู่และจะสามารถรู้ได้ ว่าใครคิดดี หรือไม่ดี ชอบเรา หรือเกลียดเราได้ <br /> แต่ความรู้สึกนี้จะชัดเจนหรือไม่อยู่ที่ “ จิต ” ถ้าคนที่มีจิตดี นิ่งสงบ จะรับรู้กระแสจิตของความคิดผู้อื่นได้เร็วและค่อนข้างชัดเจน กว่าคนที่จิตฟุ้งซ่าน ลองสังเกตง่าย ๆ ว่า คนบางคน เราอยู่ใกล้พูดคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ปลอดโปร่ง โล่งใจ เพราะคนผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกระแสจิตที่ดี มีความเมตตา ไม่คิดร้ายใคร พลังจิตจึงเป็นกระแสที่สว่างใสและอบอุ่นปลอดภัย แม้แต่เทวดาก็อยากมาอารักษ์ สัตว์ก็ยังอยากอยู่ใกล้ <br /> แต่กับอีกคนที่อยู่ใกล้แล้วกลับรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ เพราะคนผู้นั้นเป็นผู้ที่มีกระแสจิตพิฆาต ชอบคิดร้าย อาฆาต พยาบาทและเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เสมอ พลังจิตจึงเป็นกระแสแบบทิ่มแทง ทำให้คนที่อยู่ใกล้รับถึงกระแสนั้น จึงก่อให้เกิดความอึดอัด ไม่ไว้วางใจ หวาดกลัว และไม่อยากเข้าใกล้ แม้แต่เทวดาก็ส่ายหน้า หมูหมาก็วิ่งหนี <br /> คนที่มีคลื่นพลังจิตชนิดบวกอยู่สูง จะเป็นประเภทของคนที่ชอบพึ่งพาตัวเอง มีใจเปิดกว้าง ไม่คิดร้ายใคร ให้อภัยผู้อื่นเสมอ มีความเมตตา และมองโลกในแง่ดี มีกำลังใจสูง ไม่ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับปัญหาใด ๆ ก็จะไม่ย่อท้อ และไม่สูญเสียกำลังใจง่าย ๆ ทำให้สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อยู่เสมอ ๆ <br /> บางคนหาวิธีสร้างเสน่ห์เมตตามหานิยมกันให้วุ่นวาย แต่เมตตามหานิยมที่คงกระพันอย่างแท้จริงแล้วอยู่ ที่ความคิดและจิตใจของเรานั่นเอง ถ้าเพียงแค่เราปรับความคิดให้คิดในแง่บวก คิดดีและใจกว้าง รู้จักให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นบ้าง เพราะเราเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยผิดพลาดมาก่อน เราก็ยังอยากได้รับการอภัยเลย เราก็ควรรู้จักการอภัยผู้อื่นเป็นนิสัยบ้าง เราก็จะได้สิ่งนั้นกลับคืน การให้อภัยเป็นการฝึกความใจกว้างและเชื่อมโยงอยู่ ในข้อของเมตตาบารมีด้วย <br /> รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง จะทำให้เราได้สติในการทบทวนก่อนที่จะพูดหรือทำอะไรลง ไป ว่าจะไปกระทบใจเขาหรือไม่ ลองพูดให้ตัวเองฟังก่อนดีกว่าไม่ ว่าสิ่งที่เราจะพูดเราฟังแล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าเราฟังแล้วรู้สึกไม่ดี เราจะใช้วจีกรรมทำลายตัวเองและผู้อื่นให้เป็นกรรมต่อ กันทำไมและสิ่งที่ได้ตามมาคือเป็นการลดความเห็นแก่ตัวลงไปได้มาก เพราะเรากำลังนึกถึงใจคนอื่นมากขึ้น แทนที่จะนึกถึงแต่ใจตัวเองอย่างที่เคยทำ และทำให้เกิดกระแสจิตที่อ่อนโยนและเมตตาต่อผู้อื่นมากขึ้น เป็นกระแสจิตที่ดี ทำให้เกิดเสน่ห์ต่อมหาชน คนรักใคร่และเกิดความเมตตา โดยไม่ต้องไปพึ่งพาเครื่องรางของขลังที่ไหนเลย <br />เราทุกคนย่อมสร้างความขลังให้เกิดกับตัวเองได้<br />เพียงแต่หมั่นเจิมจิตด้วยการคิดดี พูดดี ทำดี ในทุกวันเท่านั้นเอง .<br /><br />จาก หนังสือธรรมะในจิต<br />ที่มา: <br />http://www.baanmaha.com/forums/showthread.php?t=22215 <br />magic<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-961801002582544382010-07-21T04:08:00.000-07:002010-07-21T04:10:55.632-07:00กรรมวิธีสัมผัสรู้ด้วยพลังจิตของตนเองกรรมวิธีนี้ตระหนักถึงสมรรถนะในการหยั่งรู้ที่จะทำความรู้จักตัวตนโดยรวมและแต่ละองค์ประกอบ ซึ่งรวมไปถึงออร่าด้วยเป็นอย่างดี กรรมวิธีนี้ได้รับการออกแบบเพื่อที่จะกระตุ้นแหล่งพลังงานภายในที่ต้องการ เพื่อจะกระจายพลังนั้นออกไปสู่ออร่าของเรา ซึ่งในการนี้จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องออร่าของบุคคลและความสัมพันธ์ของมันที่มี มีวิธีสัมผัสดังต่อไปนี้<br /> •การเตรียมตัว หาสถานที่ซึ่งคุณจะสามารถใช้เวลาในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกรรมวิธีนี้ได้นานประมาณ 30 นาที จากนั้นสร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้เกิดขึ้น สำรวจความคิดและความรู้สึกทั้งหลายที่เกิดอยู่ในจิตใจ<br /> •ทำจิตให้ว่าง หลับตาลง สูดลมหายใจลึก ๆ 2 – 3 ครั้ง ค่อย ๆ ระบายลมหายใจออกช้า ๆ ขจัดความคิดวุ่นวายในสมองออกให้หมด<br /> •สำรวจจิต มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังศูนย์กลางแห่งพลังงานที่อยู่ลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก ขณะนี้เมื่อความคิดได้เข้าไปรวมอยู่ภายในแล้ว คุณจะสัมผัสพลังงานที่หลั่งไหลออกมาจากแก่นกลางของออร่า พลังงานนั้นห่อหุ้มกายเนื้อของคุณด้วยรังสีทีสว่างเรือง<br /> •สำรวจออร่า สร้างจินตนาการถึงออร่าและใช้จิตสำรวจ เริ่มจากรูปแบบของพลังงานที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะแล้วค่อย ๆ เลื่อนการสำรวจต่ำลงมาเรื่อย ๆ สังเกตความรู้สึกที่เกิดควบคู่มากับการสำรวจออร่าในครั้งนี้<br /> •พิจารณาออร่า ในตอนต้นให้พิจารณาออร่าโดยรวมเสียก่อน จากนั้นจึงสำรวจเฉพาะบริเวณรวมไปถึงลักษณะของมันด้วย ให้ภาพจากจินตนาการเกี่ยวกับออร่านี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง ให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อความรู้ที่จะเกิดขึ้นในจิต ควบคู่มากับการพิจารณาในขั้นตอนนี้<br /> •เก็บข้อมูลภายใน ให้คุณเก็บข้อมูลจากประสบการณ์นี้ด้วยการใช้วิธีถ่ายรูปออร่าทางจิต แล้วเอาเก็บเข้าไว้ในแฟ้มที่มีอยู่ภายใจจิตของคุณ เพื่อประโยชน์สำหรับการใช้อ้างอิงต่อไปในอนาคต จบกระบวนการนี้ด้วยการยืนยันกับตนเองว่า .. ขณะนี้ฉันได้รับการเพิ่มพลังจิตอย่างเต็มเปี่ยมด้วยพลังทางบวกแล้ว<br /> การหยั่งรู้เกี่ยวกับเรื่องของออร่านั้น บางครั้งเราจะได้รับรายงานจากผู้รับการทดลองว่ามันจะเกิดขึ้นขณะที่จิตกำลังอยู่ในสภาวะที่แน่นอน ซึ่งรวมไปถึงสภาวะถอดกายทิพย์และการสะกดจิตด้วย<br />( กรรมวิธีนี้ถ้าใครเคยสนใจสมาธิ จะพบว่าเป็นแค่สมาธิเบื้องต้น อาศัยผลพลอยจากสมาธิมาใช้นั่นเอง ซึ่งได้ทั้งจาก กรรมฐาน40 และสติปัฏฐานควบคู่ไป : Amine )<br />การแปลความหมายจากสีในออร่า ในออร่าของมนุษย์นั้นจะไม่ถึงขาวสะอาดหรือดำมืดไปเสียทั้งหมด แต่จะมีบริเวณของสีขาวหรือสีดำปรากฏอยู่ตรงใดตรงหนึ่งในออร่านั้น สีทั้งสองนี้ปกติแล้วเราจะเห็นเป็นจุดของแสงสว่างหรือไม่ก็ดำมืดกว่าบริเวณอื่นนอกเหนือจากการให้สี ความเข้ม การแผ่กระจายของรัศมีและความชัดเจนของสีสันแล้ว ในออร่าก็ยังมีขนาดของการแผ่ขยายของรัศมีที่หลากหลายอีกด้วย บางครั้งเราจะมองเห็นสีรุ้งเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของออร่า โดยทั่วไปแล้วความเข้มกับการแผ่ขยายของสี เป็นสิ่งที่ชี้ชัดถึงพลังอันเต็มเปี่ยมที่มีอยู่ในพลังงานของออร่า ยิ่งมีความเข้มกับการแผ่ขนาดออกไปได้ไกลเพียงใด สีก็จะยิ่งมีอิทธิพลและมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเท่านั้นการศึกษาค้นคว้าของเราจะบ่งบอกได้เพียงแค่ 10 สี จึงมีความเป็นไปได้ที่ว่ายังมีสีและการจัดระดับของสีอีกไม่น้อยที่เรายังไม่สามารถนำมารวมไว้ได้อีก<br />สีรุ้ง<br />รูปแบบของสีรุ้งนั้นเป็นการรวมตัวกันของสีสันที่หลากหลาย โทนสีจะนุ่มนวล ปรากฏเป็นโค้งรุ้งที่ครอบคลุมอยู่ทั่วร่างหรืออาจจะเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น อาจจะเพียงแค่ส่วนศีรษะกับไหล่ทั้งสองข้าง เป็นต้น ปกติแล้วสีของสายรุ้งจะสว่างสดใสแผ่รัศมีออกไปได้กว้าง ออร่าสีรุ้งบ่งบอกถึงส่วนผสมของบุคลิกภาพส่วนตนในทางบวก อาทิ เป็นผู้มีสติปัญญาความสามารถ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีความรู้อันเกิดจากแรงบันดาลใจ มีคุณธรรม มีเมตตากรุณา มองโลกในแง่ดี และรู้จักตนเองดีบุคคลที่มีออร่าสีรุ้งสว่างสดใส มักเป็นผู้ที่มีแนวโน้มว่าเป็นเจ้าของเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดในโลก เมื่ออยู่ในกลุ่ม พวกเขาจะอยู่ในระดับผู้นำและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน รวมไปถึงชีวิตส่วนตัวด้วยขณะที่ออร่าสีรุ้งเป็นเครื่องหมายของความสูงส่งที่จะปรากฏในบุคลิกภาพของบุคคล แต่มันก็เป็นสีที่มีความอ่อนไหว พร้อมที่จะเกิดความไม่สมดุลหรือมีสีที่จืดจางลงได้โดยง่าย ถ้ามีสีอื่นแทรกซ้อนขึ้นมาอย่างกระทันหัน อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง<br />สีเหลือง<br />เป็น 1 ในจำนวนสีที่เราจะพบในออร่ามนุษย์ได้มากที่สุด พบมากในบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถสูง แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีปัญญา ส่วนความกว้างของรัศมีที่แผ่ขยายออกไปบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์และสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ยิ่งออร่าสีเหลืองสว่างสดใสเพียงไร ก็ยิ่งสูงด้วยภูมิปัญญามากเพียงนั้น ยิ่งสีสามารถแผ่ออกไปได้ไกลเพียงไร ยิ่งแสดงว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความก้าวหน้าในสังคมมากเท่านั้นในการพิจารณาตำแหน่งออร่าสีเหลือง ถ้าสดใสปรากฏอยู่โดยรอบศีรษะแล้ว แสดงว่าบุคคลนั้นมีความคิดอ่านอันเป็นนามธรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหาและการใช้คำพูด ขณะที่ปรากฏอยู่รอบไหล่และบริเวณทรวงอก แสดงว่ามีความสามารถในการใช้ดวงตาประสานกับการใช้มือได้เป็นอย่างดี และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเครื่องยนต์กลไกออร่าสีเหลืองมักแสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลที่พึ่งพาได้ ให้ความเป็นมิตรกับทุกคนและมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับบุคคลที่มีความสนใจในการช่วยเหลือสังคม เราจะพบว่าออร่าสีเหลืองแผ่กว้างออกไปยังบริเวณรอบนอกของออร่าด้วยสีเหลืองที่หม่นหมอง และขอบเขตที่จำกัดของการแผ่รัศมี มักแสดงถึงสภาวะจิตที่มีความตึงเครียด ก่อให้เกิดอิทธิพลทางลบต่อการทำหน้าที่ของสมองและเป็นอุปสรรคต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอีกด้วย[/glow]<br />สีฟ้า<br />สีฟ้าอ่อน มักจะสัมพันธ์กับความสมดุล ความเยือกเย็น สุขุม ความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมองโลกในแง่ดี มักพบในออร่าของบุคคลที่รู้จักคุณค่าของตนเอง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสีฟ้าเข้ม จะสัมพันธ์อยู่กับไหวพริบ สติปัญญาและการรู้จักควบคุมอารมณ์ มักพบในออร่าของบุคคลที่มีไหวพริบ มีความสามารถสูง ทั้งยังเป็นคนที่มีหลักการในตนเองด้วยสีฟ้าในออร่ามีการสนองตอบเป็นพิเศษต่อการทำสมาธิและการสร้างความรู้สึกผ่อนคลายที่กระจายพลังงานสว่างสดใสเข้าไปในระบบออร่าสีฟ้าหม่นเกิดขึ้นที่ตรงบริเวณใดของออร่าก็ตาม คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการมองโลกในแง่ร้าย ความท้อแท้และความรู้สึกหวาดระแวง ซึมเศร้าอย่างรุนแรงหรือผู้ที่คิดฆ่าตัวตาย<br />สีเขียว<br />บ่งบอกถึงพลังงานแห่งการบำบัดรักษา ความพยายามที่จะรู้จักตัวตนแท้จริงของตนเองและการยกระดับจิต โดยทั่วไปนั้น ออร่าของผู้ที่ประกอบอาชีพในการให้การบำบัดรักษา อาทิ แพทย์ พยาบาล และรวมไปถึงนักสังคมสงเคราะห์ทั้งหลายนั้น มักจะมีออร่าเขียวสดใสความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือ นักพลังจิตบำบัดนั้นมักจะมีออร่าสีรุ้ง ซึ่งไม่ใคร่พบในออร่าของบุคคลที่มีอาชีพในการบำบัดแบบอื่นเท่าไรนักออร่าสีรุ้งที่มีสีเขียวเด่งกว่าสีอื่น มักจะมีความเกี่ยวเนื่องกับมิติลี้ลับในระดับจิตสำนึกอีก จึงพบว่าจะพบออร่าดังกล่าวนี้เกิดอยู่ในออร่าของนักมายากลอีกด้วยจากการศึกษาออร่าของนักศึกษาแพทย์ พบว่าออร่าของพวกเขามีสีเขียวเด่นกว่าสีอื่น ๆ ที่ปรากฏร่วมอยู่ด้วย ในขณะที่ออร่าของนักศึกษาพยาบาลพบว่า ไม่เพียงแต่ออร่าจะมีสีเขียวสดใส แต่ยังมีคลื่นความถี่สูงกว่าสีอื่น ๆ มากสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้น ออร่าเขาจะมีบริเวณที่เป็นสีเขียวที่แผ่รัศมีออกไปกว้างมาก โดยที่สีเขียวสดมักจะปรากฏเป็นลำแสงพลังงานที่ห่อหุ้มร่างกายไว้สีเขียวที่หม่นหมอง เป็นสัญลักษณ์ของความอิจฉาริษยา ชอบใช้พฤติกรรมของตนเป็นมาตรฐานและมักจะกล่าวโทษผู้อื่นในความล้มเหลวของตนเองสีเขียวหม่นที่ค่อนไปทางสีเทานั้น มักเป็นลางบอกเหตุว่าจะพบเรื่องร้าย ๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวหรือเคราะห์ร้าย รวมไปถึงอาการเจ็บไข้ได้ป่วยรุนแรง<br />สีชมพู<br />เป็นสีแห่งวัยเยาว์ ความสุขสดชื่น อุดมคติ แม้จะปรากฏอยู่ท่ามกลางสีอื่น ๆ ที่หม่นมัวหรือจืดชืด แต่สีชมพูมักจะสว่างสดใสอย่างเห็นได้ชัดเสมอ เป็นสีแห่งความหวังและมีแนวโน้มไปในทางมั่นคงเนื่องจากสีชมพูจะพบในคลื่นความถี่สูงในออร่าที่บ่งบอกถึงความมีอายุยืน จึงมักสัมพันธ์กับความเป็นผู้มีอายุยืนยาวด้วยมักพบสีชมพูจำนวนมากในคนที่พร้อมจะอุทิศเวลาและทรัพย์สินในกรณีที่พวกเขาพิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่มีค่าควรกระทำ เป็นบุคคลที่ปกติจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองแต่พอประมาณ ส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งความสนใจไปในเรื่องการอนุรักษ์งานศิลปะและงานด้านประวัติศาสตร์ต่าง ๆ มากกว่า<br /><br />สีน้ำตาล<br />สัมพันธ์อย่างมากในเรื่องที่เกี่ยวกับโลกและวัตถุแร่ธาตุทางธรรมชาติ บ่งบอกอุปนิสัยว่าเป็นนักปฏิบัติ มั่นคงในจิตใจและรักอิสระ นักธรณีวิทยา นักนิเวศวิทยา นักโบราณคดี นักพัฒนาที่ดิน และผู้ที่ทำงานด้านการก่อสร้าง ส่วนใหญ่แล้วจะมีสีน้ำตาลโดดเด่นส่วนใหญ่มักเป็นผู้ที่สนใจในกิจกรรมในที่โล่งแจ้ง เช่น เดินทางไกล , ล่าสัตว์ ฯ มักไม่ใคร่พอใจในกิจวัตรที่จะต้องปฏิบัติเป็นประจำ รวมไปถึงชีวิตในชานเมือง บุคคลเหล่านี้จะใส่ใจเรื่องสุขภาพ การออกกำลังในโรงยิมหรอืกีฬาที่ใช้แร็กเกต เป็นกิจกรรมที่พวกเขาจะปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอภายหลังจากเสร็จงานประจำที่ทำอยู่ เมื่อถึงสุดสัปดาห์มักจะไปหาความสำราญตามชายหาดหรือภูเขา แม้จะมีสังคมที่ดี แต่ก็มีโลกส่วนตัวสูงมากเป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อในแรงบันดาลใจสูงมาก มีลักษณะชี้ขาดในการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ<br />สีม่วง<br />เป็นสีที่มีอยู่น้อยมากในออร่า สัมพันธ์กับปรัชญา มักเป็นผู้มีแนวคิดในทางสร้างสรรค์และมีความเป็นศิลปินอย่างเห็นได้ชัด มักมองในมุมกว้างมากกว่าจะสนใจในข้อเท็จจริงเฉพาะหรือเอาสถิติเข้ามาอ้าง เนื่องจากไม่เชื่อถือในตัวเลขสถิติอยู่แล้วบุคคลเหล่านี้มักมีสติปัญญาเหนือระดับอัตราเฉลี่ย มักเรียกร้องความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ชอบทำงานในแขนงที่ตนมีใจรักโดดเด่นในออร่าของผู้สอนศาสนา นักปรัชญาและนักทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นมันยังเป็นสีที่มั่นคงมาก ไม่ซีดหรือจืดจางได้ง่าย<br />สีส้ม<br />คนที่มีออร่าสีส้มเป็นหลัก มักพบในกลุ่มบุคคลที่ประสบความสำเร็จสูง โดดเด่นในสังคม งานขายต่าง ๆ จะเชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่จะรักอิสระและมีธรรมชาติในการแข่งขันสูง เชี่ยวชาญในการใช้คารมเกลี้ยกล่อมราวจะชดเชยสิ่งที่เป็นปมด้อยของตน เมื่อใดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ บุคคลประเภทนี้จะมีการกล่าวแก้ข้อหาอย่างรุนแรงแม้บุคคลประเภทนี้จะยกย่องคุณค่าต่อปฏิสัมพันธ์ในสังคม แต่ก็ไม่อาจยึดมั่นได้ในระยะยาว เพราะบางครั้งพลังความคิดของเขาจะกระจัดกระจายทำให้พวกเขาไม่อาจทำงานสำคัญ ๆ ให้ประสบความสำเร็จได้การที่สีส้มจืดจางลง บ่งถึงการมีความอดทนน้อย<br />สีเทา<br />ปกติแล้วจะปรากฏเพียงชั่วครั้งชั่วคราว แต่มักบ่งถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ เช่น ความเจ็บป่วย ถ้าเมื่อใดมันขยายใหญ่เต็มออร่า อาจหมายถึงความตายได้ความป่วยไข้ที่ใกล้เข้ามา บอกได้จากสีเทาที่ปรากฏขึ้นตรงบริเวณในสุดของออร่าถ้ามีสีเทาเข้มเป็นบริเวณเล็ก ๆ นั่นคือการบ่งชี้ถึงปัญหาทางสุขภพาที่ร้ายแรงเป็นพิเศษ อาจเกี่ยวกับอวัยวะภายใน ขึ้นกับตำแหน่งที่สีเทาปรากฏด้วยถ้ามันปรากฏขึ้นบริเวณตอนบนของออร่า ขยายใหญ่ออกไปจนเลยขอบนอกของออร่า จะบ่งถึงข่าวร้าย อาจจะหมายถึงการสูญเสียบุคคล ผู้ที่เป็นที่รักหรือญาติสนิทมิตรสหาย<br />สีแดง<br /> อาจจะปรากฏเป็นปื้นใหญ่ขึ้นมาอย่างฉับพลันหรืออาจจะเป็นขนาดเล็กและปรากฏชั่วคราว มักสัมพันธ์กับพฤติกรรที่เกิดอย่างหุนหันพลันแล่นและอารมณ์ที่รุนแรง รวมไปถึงการระเบิดความโกรธอีกด้วย แม้ว่าจะเกิดชั่วคราว แต่เส้นใยสีแดงก็สามารถถักทอดเข้าไปในออร่าจนกลายเป็นรูปแบบถาวรของพฤติกรรมที่มีศักยภาพสูง แต่บ่อนทำลายพลังในตัวลง มักพบสีแดงเข้มในออร่าของผู้ที่กระทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง รวมไปถึงวัยรุ่นที่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปทางรุนแรงด้วย นอกเหนือจากนั้นยังพบได้ในออร่าของนักกีฬา เพราะจะบ่งถึงความชอบความตื่นเต้น กระวนกระวายและพฤติกรรมชอบเสี่ยงได้อีกด้วย<br /><br />magic<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-45083232050475339642008-11-10T05:54:00.000-08:002008-11-10T06:49:20.153-08:00เงือก...2,000 ปี<span style="color:#6600cc;">พบนางเงือก 2,000 ปี</span><br /> เงือกตัวนี้ได้รับความคุ้มครอง และอยู่ในครอบครองของศาสนาโตชิน ถือว่าเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในสมัยนั้น คือ เมืองฟูจิโนะมิยา ใกล้กับฐานภูเขาไฟฟูจิยามา เงือกตัวนี้มีความแปลกที่ไม่เหมือนเงือกตัวใดที่พบมาก่อนเลย คือ จัดให้มีความยาวถึง 170 เซนติเมตร อายุก็มากที่สุดนับจากค้นพบมา คือ อายุราว 1,400 ปี หากนับถึงวันพบซากเป็นปี ค.ศ. บวกอายุจริงที่ประเมินไว้รวมกันเข้าแล้วก็ปาเข้าไปเกือบ 2,000 ปี เลยทีเดียว ( ถ้าเป็นพ.ศ. บวกเข้า 543 ป๊ ก็มีอายุสองพันกว่าปีแล้ว)<br /> <span style="color:#6600cc;">มัมมี่เงือกญี่ปุ่น</span><br /><span style="color:#6600cc;"> </span><span style="color:#330033;"> เงือกตัวนี้ดังมากในบรรดาเงือกญี่ปุ่นทั้งหมด เหตุที่มีชื่อเสียงดังเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ใช่เพียงแค่อายุมากเท่านั้น แต่เป็นเพราะขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตอาจสูงใหญ่กว่าคนบางคนด้วยซ้ำ อีกทั้งมันไม่ได้ยกกำมือขึ้นแนบแก้ม มีเพียงดวงตาเบิกโพรงแสดงความตกใจ ดังที่เคยได้ยินได้กันเห็นมาแล้ว นางเงือกตัวนี้ยังมีรูปร่างที่ยาวเกินเหตุคล้ายไม่สมส่วนกล่าวคือ ส่วนหางที่เป็นปลามีความยาวเพียง 20 เซนติเมตรเท่านั้น แถมบนศีรษะก็หัวล้านแต่ไม่ถึงกับเลี่ยน พอมีประปราย( อาจข้ามกาลเวลาอยู่มานานผมจึงหลุดร่วงหมด) แล้วที่ดูตลกเห็นจะเป็นเส้นผมกลางหน้าผากห้อยย้อยลงมาที่ปรายจมูก ใช่เพียงแค่นี้ที่ว่าไม่เหมือนเงือกอื่นใดอีกนั้นก็คือ ที่อุ้งมือเธอยังมีพังผืด แบบตีนกบ ตามด้วยเล็บที่ยาวแหลมคม เห็นแล้วให้เสียวลำคอดีแท้..ดูที่ดวงตาเบิกกว้างนั้นก็ยาวเลยปาก ความสงสัย และข้องใจของนางเงือกตนนี้คงเป็นที่สัดส่วน หากนำมาพิจารณามันก็ออกจะแปลกๆสักนิด</span><br /><span style="color:#330033;"> เพียงช่วงล่างของหางปลายาว 20 ซม. ที่เหลือ 150 เป็นช่วงคนนั้น ทำให้คิดกันว่าแล้วสรีระภายใน จะเป็นโครงกระดูกแบบมนุษย์หรือเปล่า .... น่าสงสัยที่สุด เพราะความสูงของสตรีประมาณเท่าเงือกนาวนี้เหมือนกัน? เงือกวัย 2,000 ปี ตนนี้ผ่านลมฝนการเดินทางข้ามห้วงมหาสมุทร และการโยกย้ายเพื่อออกแสดงโชว์ไปทั่ว จึงทำให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรม ตามผิวหนังด้านนอกก็ผุกร่อน อันเกิดจากการกัดแทะของผีเสื้อราตรีกับแมลงกลางคืน มันคือ มัมมี่เงือกที่มีปริศนาคาใจ และเป็นที่ใคร่รู้จักของชาวโลกมากที่สุด </span><div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-20546449977267937102008-10-19T19:15:00.000-07:002008-10-20T00:04:35.102-07:00ตอน เงือกซากุระแล้วนางเงือกมีจริงหรือนี่น่าจะเป็นคำถามจากทุกท่านแน่นอน เช่นนั้นในตอนนนี้ นาจะเป็นการสรุป หรือนำนำเอาไปรวมเป็นสมตฐานได้ว่า นางเงือกควรจะมีจริงในอดีต เมื่อพันปีก่อน โดยเรื่องที่จะนำเสนอ เป็นหลักฐานการบันทึกทั้งเรื่องราว ภาพวาด และหลักฐานที่เป็นตัวตนของนางเงือกจริงๆ<br />นางเงือกที่ว่านี้....อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ดินแดนแห่งดอกซากุระบาน เมืองที่เห็นพระอาทิตย์อุทัยก่อนใครอื่นแล้วเป็น ประเทศที่แวดล้อมด้วยเกาะแก่งจำนวนมากมาย มีพื้นน้ำล้อมรอบจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศญี่ปุ่นมีนางเงือกเยอะมาก หรือเป็นแหล่งถิ่นที่อยู่ เมืองบาดาลของพวกเงือกคนครึ่งปลา อมนุษย์ที่คอยจ้องจมเรือแล้วกินผู้ผ่านน่านน้ำดังคำกล่าวหาจริงหรือ?<br /><span style="color:#ff0000;">งานวัด</span><br />ณ เมืองเอโดะ ปัจจุบัน คือกรุงโตเกียว ได้มีงานเทศกาลรื่นเริง ลักษณะการจัดงานเหมือนงานวัดบ้านเราเปี๊ยบ! มีบรรยากาศสนุกสนานครึกครื้น และครื้นเครงเอามากๆ ในยุคนั้นบ้านเมืองของญี่ปุ่นไม่ได้เจริญ จนต้องแออัดยัดเยียดเหมือนทุกวันนี้ มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ การจัดงานในสมัยก่อน เขาจะทำกันที่ทุ่งร้างไม่ก็ป่าหญ้า หรือในที่สาธารณะต่างๆ คนจัดต้องไปแผ้วถางเอาเอง<br />จากนั้นพวกคณะละครสัตว์ นักมายากล และสินค้าพวกงานช่างฝีมือต่างๆ จะมารวมทีมที่งานนี้งานเดียว อีกทั้งยังมีสารพัดสัตว์แปลกประหลาดนำมาโชว์ ชาวเอโดะในยุคนั้นมีความเชื่อว่า ถ้าได้ชมสัตว์ประหลาดแปลกๆแล้ว จะทำให้โชคดีเดินมาสู่ตัว หรืออาจมีทรัพย์สินเงินทอง ความมั่งคั่งร่ำรวยเกิดขึ้น รวมทั้งสุขภาพที่ร้ายให้กลายเป็นดี เหมือนเป็นการไปขอพร ขอในสิ่งที่ตนต้องการจากสิ่งเหล่านี้ <em><span style="color:#990000;">( เหมือน</span><span style="color:#990000;">บ้านเราจังเลย )</span></em> นอกจากนี้ที่พิเศษหน่อยก็คือ การนำของแปลกประหลาดมาโชว์ที่เอโดะเวลานั้น จะต้องทำการป่าวประกาศชวนเชิญ สรรพคุณเกินจริง หรือรูปแบบของที่ไม่ซ้ำใครมาให้เห็นสักเล็กน้อย ก็จะทำให้ชาวบ้านแห่แหนมาชมมากยิ่งขึ้น<br />ส่วนใหญ่จะเป็นของมาจากโลกตะวันตก โลกที่มีอารนธรรมใหม่ๆ การประดิษฐ์คิดค้นของที่คนในยุคนั้นยังไม่เคยเห็น เช่น รูปภาพสัตว์ที่มีจำนวนมากมาย ดูแล้วซับซ้อน ลายตา เกิดจากการใช้เทคนิคของกล้องประเภทกล้องลวงตา เป็นต้น<br /><span style="color:#ff0000;">เงือกไม่ใช่ของแปลก? </span><br /><span style="color:#ff0000;"></span><span style="color:#333333;">เมื่อครู่เราได้พูดถึงสัตว์ประหลาดต่างๆ ที่นำมาออกงานที่ญี่ปุ่นนั้น เขาบอกว่า สัตว์ประหลาดของชาวเมืองเอโดะต้องไม่ใช่นางเงือก?? ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ชาวญี่ปุ่นยุคโน่น เคยพบเห็นเงือก และรู้จักกับนางเงือกเป็นอย่างดี และคุ้นเคยกันมาช้านานแล้ว...ดังนั้นในงานเทศกาล หากนำนางเงือกมาออกแสดง เขาจะไม่นับให้เป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดอะไรเลย คือไม่ได้รับความสนใจเท่าที่คาด หรืออาจประมาณว่า เงือกเหมือนสัตว์ที่มีดื่นดาษทั่วไปของญี่ปุ่นแล้ว?</span><br /><span style="color:#333333;">ดังนั้นเมื่อชาวต่างชาติที่เข้ามาที่เอโดะ ได้ออกเที่ยวชมงานเทศกาล แล้วได้พบกับเงือกที่ว่ายน้ำเป็นๆ โชว์อยู่ในตู้ หรือบ่อน้ำจำลอง เป็นธรรมดาจะต้องตื่นตาตื่นใจ ที่น้อยนักจะมีใครได้พบเห็นนางเงือกที่มีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องลงทุนนั่งเรือเดินเรือในทะเล ให้ยุ่งยาก และเสี่ยงภัยแต่ประการใด</span><br /><span style="color:#333333;"><em><span style="color:#3333ff;">เงือกญี่ปุ่นจึงเริ่มดัง และมีชื่อเสียงข้ามน้ำข้ามทะเลไปทางฝั่งยุโรป และอเมริกา</span></em></span><br /><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#ff0000;">ตลาดค้านางเงือก</span><br /><span style="color:#ff0000;"></span><span style="color:#333333;">เงือกจึงป็นของแปลกพิสดารในสายตาของฝรั่งตาน้ำข้าว งานใดมีเงือกออกโชว์ เจ้าของงานนั้นรับเละ...เพราะฝรั่งนิยมของแปลกจากจุดนี้เองธุรกิจการซื้อขายนางเงือกจากเจ้าของอมนุษย์ จึงเกิดขึ้นเป็นการค้า มีการล่า จับพวกเงือกมาขาย พวกพ่อค้าหัวใสเล็งเห็นความร่ำรวยที่จะได้จากเงือก เม็ดเงินจากโลกตะวันตก และยุโรปจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นเหลือ....เงือกตัวหนึ่งๆจึงมีราคาสูงตามความต้องการของท้องตลาด แล้วดูเหมือนจะเริ่มหายากขึ้นทุกที กิจการงานขายของ และละครสัตว์จึงเปิดตัวนางเงือก โด่งดังที่สุดในยุคศตวรรษที่18แน่นอนว่า ตลาดค้ามนุษย์เงือกที่ดังที่สุดในเวลานั้น คือประเทศญี่ปุ่น และเอเชียตอนใต้</span><br /><span style="color:#333333;">แต่แหล่งเงือกที่ขายดีคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือนางเงือกที่มาจากหมู่เกาะบาร์นัมของ ฟิจิ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นต่างกับเงือกที่อื่นๆ ก็เป็นได้</span><br /><span style="color:#333333;">เมื่อดังมาก จากเงือกที่ออกโชว์เคยมีชีวิตแหวกว่ายในน้ำอวดผู้คนได้ ก็เหลือเพียงซากของเงือกที่ตายไปแล้วเท่านั้น เจ้าตัวนี้เหมือนจะป๊อบปูล่าที่สุด เมื่อ 200กว่าปีที่แล้ว เมื่อเงือกดังมาก คนขี้สงสัย คนจับผิดก็ย่อมจะมี โดยกล่าวหาว่า....</span><br /><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#ff0000;">เงือกปลอม</span><br /><span style="color:#ff0000;"></span><span style="color:#333333;">ในปี ค.ศ.1810เงือกที่นำมาโชว์นั้น เป็นเงือกปลอมที่ทำขึ้นมา โดยช่างฝีมือชาวญี่ปุ่นที่เป็นชาวประมง เหตุผลที่ว่าปลอมก็เพราะเขาทำเนียน และดีเกินจริง?</span><br /><span style="color:#333333;">คนที่กล่าวหายังบอกอีกว่า มันสมบรูณ์จัด ยิ่งเมื่อได้ดูบ่อยๆนานๆเข้าก็จะสังเกตุเห็นได้ว่า นางเงือกที่นำมาโชว์นั้นมีรอยเย็บเป็นตะเข็บ ส่วนกะโหลกน่าจะเป็นหัวลิง และส่วนตัว ก็คือปลาตัวโต นำทั้งสองมาเย็บประกอบเข้าด้วยกันแต่งอีกนิดก็เหมือนจริงแล้ว</span><br /><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#3333ff;"><em>แล้วช่างญี่ปุ่นเขารู้ได้อย่างไร?</em></span><br /><span style="color:#333333;">॥।ว่าเงือกมีรูปร่าง ลักษณะหน้าตาเป็นมาแบบใด ทำไมต้องมีใบหน้าแบบเดียวกันหมด คือหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัว มีฟันแหลมคม กำสองมือยกขึ้นแนบแก้ม ทำไมต้องลักษณะนี้? ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องราวตำนานของเงือกจะหมายถึง สตรีครึ่งปลา ที่มีรูปร่างสวยงาม ใบหน้าอ่อนหวาน มีเสียงไพเราะมิใช่หรือ? เหตุใดจึงอัปลักษณ์ น่าสยองอย่างนี้!!</span><br /><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#ff0000;">นางเงือกประจำวัด</span><br /><span style="color:#333333;">ที่ญี่ปุ่นมีเงือกมาก เป็นเรื่องไม่ผิดปกติอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลก</span><span style="color:#333333;"> ถ้าเราจะพบเห็นซากมัมมี่ของนางเงือก ที่ไปปรากฎตัวอยู่ตามวัดของญี่ปุ่นหลายวัด แล้วจะทำการะทักษ์รักษาซากนั้นเป็นอย่างดี สืบทอดต่อๆกันมา</span><br /><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#ff0000;">ห้ามใครแตะต้องและยุ่งอย่างเด็ดขาด!!</span><br /><span style="color:#333333;">อย่างเช่นในปีค.ศ.1682<span style="color:#3333ff;">(ราว 326ปีก่อน</span>) วัดซุอิไรจิ ใน โอซาก้า ของญี่ปุ่น ได้รับของขวัญพืเศษจากพ่อค้าชื่อ ซาคาอิ อาเระ เขาได้ถวายกัปปะ และมังกรตัวเล็กๆให้เป็นกรรมสิทธิในการครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ของทั้งสองสิ่งนั้นขุดได้จากใต้ดิน ที่อยู่ติดกับข้างวัดนะเอง</span><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#333333;">หรือจะเป็น</span> </span><span style="color:#333333;">วัดโมะอุชิ บนเกาะฮอนซู ในเมืองคาชิวาซากิ อยู่ในเขตนิไอกาทา ได้รับซากศพของนางเงือก ทางวัดได้ทำการอนุรักษ์เก็บรักษาไว้อย่างดียิ่ง ด้วยลักษณะคือนางเงือกทำท่าคล้ายกำลังโพลต์ท่าให้ ในท่ากำมือยกขึ้นไว้ข้างแก้มทั้งสองมือ คล้ายตกใจ หรือดีใจก็ไม่รู้ <em><span style="color:#3333ff;">( เงือกญี่ปุนส่วนใหญ่จะอยู่ในท่านี้ทุกตัว ท่า</span><span style="color:#3333ff;">ฮิตมั้ง )</span></em> เงือกตัวนี้มีความยาว 30เซนติเมตรเท่านั้น</span><br /><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#ff0000;">ต้องซ่อนนางเงือก</span><br /><span style="color:#333333;">แต่ละวัดจะมีการเก็บรักษาดูแลนางเงือกเป็นพิเศษ คือ เก็บไว้ในหีบไม้ หรือกล่องไม้ที่ทำขึ้นเฉพาะการเก็บซ่อนเงือกนี้ก็เพื่อไม่ให้คนสอดรู้สอดเห็นมาสังเกตุเห็น หรืออาจมาทำการพิสูจน์ตั้งคำถามต่างๆ นานา ถึงที่มาของนางเงือก</span><br /><span style="color:#333333;">หรืออีกนัยการเก็บซ่อน นางเงือกไว้นั้น ก็อาจเพื่อป้องกันหัวขโมย ที่ต้องการนำไปขายให้คนต่างชาติในราคาที่สูงมาก ดังนั้นทางวัดจึงต้องทำการเก็บรักษาไว้เป็นความลับที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งปิดมากเพียงไร ก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนสนใจใคร่อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งๆขึ้น เมื่อมีคนก้าวเข้ามาในวัด เริ่มคำถามเกี่ยวกับซากนางเงือกด้วยท่าทางที่ดีสุภาพ ให้เกียรติ เป็นมิตร หรือเมื่อดูแล้วน่าเชื่อถือ พอไว้วางใจได้ เขาก็จะได้รับการต้อนรับ และตอบคำถามที่ดีกลับไป หรืออาจได้เห็นนางเงือกตัวนั้นๆด้วย</span><br /><span style="color:#333333;">แต่ถ้ามาไม่ดี หรือเพียงแสดงท่าทางไม่เชื่อลบหลู่ หรือดูถูก ทางวัดจะปิดประตูปฏิเสธทุกคำถาม อันหมายความว่าไม่ตอนรับ</span><br /><span style="color:#333333;">การที่แต่ละวัดต้องพิทักษ์รักษาเงือกย่อมมีเงื่อนไขที่ต่างกันออกไป อาทิอย่างวัดคารุคายาโคะ อยู่นอกเมืองฮาชิโมโตะ ในเขตปกครองของวาคายามะ ได้มีเงือกตัวหนึ่ง ที่มีความยาวกว่า 50เซนติเมตร บนใบหน้าเงือกตัวนี้กำลังยิ้มกว้างให้เห็นเขี้ยว และฟันที่แหลมคม เห็นแล้วน่ากลัวอย่างชัดเจน หน้าตาของเงือก ถ่ายทอดอารมณ์ของความโกรธ ระคนปนกลัว ร่างถูกปกปิดหุ้มด้วยเกล็ดแบบปลา มีสะเก็ดคล้ายร่องรอย ของครีบติดอยู่อันหนึ่งบริเวณกลางหว่างทรวงอก ส่วนท่าทางจะอยู่ในลักษณะมาตรฐานเดียวกันกับตัวที่กล่าวมาแล้ว สำหรับวัดนี้เงือก คือความสวยงาม แถมหายากที่ต้องสงวน และอนุรักษ์ไว้</span><br /><span style="color:#333333;">แหม!กำลังสนุก เอาไว้ต่อตอนจบของนางเงือกในภาคสรุปว่าเงือกมีตัวตน จริงหรือเพื่อการค้ากันแน่..พลาดไม่ได้ทีเดียว..จะบอกให้</span><div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-5458889760418766352008-10-08T06:32:00.000-07:002008-10-08T07:00:47.350-07:00พวกเงือกน้ำจืดพวกนี้จะอยู่ตามแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ประเภทแม่น้ำ ลำคลอง ห้วยหนอง คลองบึง แหล่งน้ำที่มีพวกเงือกอาศัยอยู่ จะมีความพิเศษ หรือผิดปกติกว่าแหล่งน้ำแห่งอื่น ดังเช่น ณ ที่บริเวณนั้นจะมีบรรยากาศสงบนิ่งงัน เย็นยะเยือกประหลาดๆ วังเงือกจะอยู่ก้นสายน้ำที่ลึกๆ จนแสงแดดไม่อาจส่งถึงพื้นได้ เห็นเพียงสีเขียวเข้มของน้ำตรงนี้จะรู้สึกถึงความน่าพรั่นพรึง และเกิดความกลัวจนจับใจ แหล่งน้ำลักษณะนี้ ผ่านการเล่าสืบต่อกันมา ว่ามันเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้าย หรือพวกเงือก เป็นอันตรายถึงตายได้?<br /> ตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับเงือกนั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากในหลายๆประเทศ เราเพียงนำมาบางส่วนเท่านั้น เงือกที่แท้จริงว่ากันว่า พวกเธอคือ ตัวแทนของความชั่วร้าย เป็นด้านมืดดำ หรือเป็นปิศาจแห่งความชั่วร้าย เพียงแค่ต้องการรู้เรื่องใดทีเกี่ยวกับคนชั่ว การกระทำที่ชั่วช้าแล้วหละก็...เงือกสามารถรู้ และตอบได้ แต่บางทีก็ต้องเสี่ยงว่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่?<div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1102666059339722355.post-15529260140174341982008-09-18T15:10:00.000-07:002008-12-27T22:09:25.529-08:00กำเนิดนางเงือก<div align="center">๑ ...สมัยก่อนเรามักสำคัญว่า เจ้าหล่อนต้องมีความสวยงามราวเทพธิดา มีผมยาวสลวยพริ้วไสว แต่แท้ที่จริงแล้ว มันไม่ใช้? ที่เราเห็น และได้ยินเป็นแค่ในหนัง นิทานก็นอน หรือตำนานพื้นบ้านเท่านั้น</div><p align="center">๑ ...<span style="color: rgb(255, 0, 0);">กำเนิดเงือก </span><br /><span style="color: rgb(255, 0, 0);"></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);">เงือกคงไม่ต่างอะไรกับสัตว์ หรือสิ่งที่มีชีวิตบนโลกมนุษย์</span><br />ของเราเท่าใด ย่อมจะมีกำเนิดความเป็นมาที่พิสดารพอสมควร<br />แต่ละชนชาติก็มีกำเนิดที่ต่างกันออกไป รูปลักษณ์ภายนอกเพียง<br />คล้ายกันเท่านั้น ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง อย่างหนึ่งที่ควรทราบ<br />กันก่อนก็คือ กำเนิดของเงือกล้วนอัศจรรญ์เหลือเชื่อ ซึ่งอาจเป็น ภาพลักษณ์ สัญญลักษณ์<br />ความ หมายอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้ เงือกมีอยู่ทั่วโลก ทุกทวีปในหลายๆ ประเทศจะต้องมีหรือ เคยมีเงือกมาก่อน??</p><p align="center"><span style="color: rgb(255, 0, 0);">นางเงือกอัสซีเรีย </span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">มีกำเนิดก่อนคริสต์ศักราชราว 1,000 ปี จากตำนานได้กล่าวถึงกำเนิดของเงือกว่า ในอดีตมีเทพธิดานางหนึ่งชื่อว่า เชมิรามิส ได้ตกหลุมรกัหนุ่มเลี้ยงแกะ ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนเข้า เธอทำให้คนเลี้ยงแกะตาย ด้วยความเสียใจปนละอายใจ เธอจึงกระโดดลงสู่ทะเลสาบ คงลืมไปว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์ เพราะตกนำเธอก็ไม่จมยิ่งทำให้เธอแค้นใจหนัก เธอได้แปลงร่างให้ครึ้งล่างที่เดิมเป็นขากลายป็นหางปลา แล้วที่สุดได้กลายเป็นนางเงือกดังที่ทุกคนรู้จักกัน</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(255, 0, 0);">นางเงือกเขมร</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">มีกำเนิดที่สืบด้วยสองตายายเคยฝันว่า ถ้าหลานได้งูเป็นผัวจะรำรวยมีเงินทองมหาศาล ทั้งสองจึงไปหางูเหลือมมาไว้ในห้อง จัดการส่งตัวหลานเข้าหอเป็นเมียงู พอเข้าไปสักครู่หลานก็บอกงูรัดร้องให้ช่วย สองตายายก็ว่า ผัวกอดรัดนิดหน่อยก็ร้อวด้วย จึงไม่สนใจ ต่อมาหลานสาวก็ร้องออกมาอีกว่า งูกินตัวเข้าไปครึ่งตัวแล้ว สองตายายก็ทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าเป็นสาวย่อมเขินอายหาเหตุเป็นธรรมดา จนเช้าก็ยังไม่มีเสียงหลานพูด ภายในห้องในห้องก็เงียบสงัดให้ผิดสังเกต ทั้งสองจึงเข้าไปในห้องหอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า....ผัวงูได้กินหลานเข้าไปอยู่ในท้องแล้ว จึงช่วยกันฆ่างูผ่าเอาหลานออกมา เดชะบุญหลานยังไม่ตาย อีกทั้งตามเนื้อตามตัวก็มีแต่กลิ่นงูติด ล้างเท่าไรก็ไม่หมดจึงพากันไปที่ทะเล พอถึงทะเลหลานสาวได้กระโดดลงนำช่วงล่างกลายเป็นปลา แล้วเป็นนางเงือกดำหายไป</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(255, 0, 0);">ความเชื่อ และตำนานเงือก</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">น้อยนักที่จะมีคนเล่าเรื่องกำเนิดหรือมีหลักฐานเกี่ยวกับเหล่าเงือก อมนุษย์ครึ่งบกครึ่งนำ หรือครึ่งคนครึ่งปลาตนนี้ได้ เงือกคงเป็นสายพันธ์ที่อยู่อีกมิติหนึ่งกล่าวกันว่า พวกเงือกจะไม่มีวันแก่ตายเช่นมนุษย์ อายุพันปี ก็แค่เริ่มต้นแรกสาวเท่านั้น เวลาของที่อยู่หรือดินแดนนางเงือกนั้น เดินช้ากว่าของชาวโลกเรามาก คนโบราณในโลกเราแต่ละแห่งก็มีความเชื่อ และตำนานต่างกัน ตามอารยธรรมความเป็นอยู่ของพวกเขา อย่างของไทยที่ดัง และรู้จักกันดี จากวรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี รวมทั้เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนสุวรรณมัจฉา ได้กล่าวถึงนางเงือกเช่นกัน หรือจะเป็เรื่อง พระอุณรุท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กล่าวถึงเงือกไว้ตอนหนึ่งว่า เสด็จนั่งยังท้ายเภตรา ชมหมู่มัจฉาน้อยใหญ่ ว่ายคลำดำดั้นอยู่ไวๆ ที่ในมหาชลธาร เงือกงามหน้า กายคล้ายมนุษย์ </span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ตำนาน </span><span style="color: rgb(255, 0, 0);">เงือกญี่ปุ่น </span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ก็มีเรื่องเล่าใช้น้อย ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของ แม่ชีบิคุนีพันปี ที่ไม่มีวันตาย เรื่องมีอยู่ว่าหญิงสาวคนหนึ่ง ได้ช่วยนางเงือกตนหนึ่งที่ชายหาด เงือกต้องการตอบแทนบุญคุณ นางจึงมอบเนื้อเงือกให้ แล้วบอกว่า เป็นของวิเศษเมื่อใครได้กินแล้วจะไม่แก่เฒ่า พอกินเข้าไปแล้วเธอก็ไม่ตาย แต่เพื่อนฝูงคนคนรู้จักตายกันไปหมด ในที่สุดเธอจึงบวชเป็นชี ต่อจากนี้เราไปดูดินแดนแห่งเทพเจ้าที่ใครๆต้องการจะไปรู้กันว่าเงือกเมืองเขาเป็นมายังไง</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ตำนาน <span style="color: rgb(255, 0, 0);">เงือกกรีก</span> </span><span style="color: rgb(204, 51, 204);">ดินแดนแห่งเทพ</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ตำนานเกี่วยกับเงือกได้เล่าไว้ว่า ณ ชายหาดแอนธีดอนที่ร้าง ไม่มีใครเคยกล้าขึ้นฝั่งสักราย ด้วยกลัวในอำนาจเร้นลับประหลาดๆ แต่กลอคัสหนุ่มหาปลาที่ไม่เคยกลัวสิ่งใดเลย เขาได้นำเรือจอด และเอาปลาที่จับได้ขึ้นฝั่ง เพื่อนับจำนวนปลา ( ที่ตายแล้ว ) เขามองดูปลาที่จู่ๆ ก็ดิ้นมีชีวิตขึ้นมาใหม่แล้วพากันดิ้นลงสู่ทะเล หายไปทีละตัวจนหมด ขณะที่ดูอยู่ปากก็เคี้ยวใบกก นำจากใบกกทำให้เขารู้สึกรักนำ ส่วนขาก็กลายเป็นหางปลา ภาวะความรู้สึกของมนุษย์ค่อยๆสูญหายกลายเป็นปลาไปเสียแล้ว เขาได้แหวกว่ายดำดิ่งสู่ท้องทะเลหายไป กลายเป็นตำนานเรื่องยาวที่เล่าสู่กันฟังมาถึงวันนี้</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ความเชื่อทางยุโรปโบราณ ( กลุ่มไอริส ) ได้เล่าถึงความสัมพันธ์ ความช่วยเหลือให้กัน และกันระหว่างเงือกกับมนุษย์ แล้วมอบสิ่งตอบแทนเป็นความรู้ทางการแพทย์ หรือการเตือนพายุในท้องทะเล เงือกมีมากมายหลายเผ่าพันธุ์ มีทั้งดี และชั่ว ทั้งงดงาม และอัปลักษณ์</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">พูดถึงชาวไอริชเขาก็มีตำนานการเกิดเงือก ในสมัยสงครามกรุงทรอย ที่เคยนำมาสร้างเป็นภาพยนต์แล้ว นางเงือกพวกนี้เกิดจากเปลือกไม้ของซากเรือรบ ก่อเกิดเป็นเลือดเนื้อ แต่ก็มีอีกด้านหนึ่งบอกว่า เงือกคือผู้หญิงนอกศาสนา ที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน หรือว่ากันไปไกลกว่านั้นก็คือ เงือกเป็นลูกๆ ของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง?</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(255, 102, 102);">แหล่งที่อยู่ของนางเงือก</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ถือเราจะรู้ว่าพวกเงือกทั้งหญิง และชายจะอยู่ในน้ำแล้วก็ตามที แต่น้ำแบบไหนล่ะ ที่พวกเงือกนิยมใช้เป็นที่อยู่อาศัยกัน...เงือกมีทั้งน้ำจืด และน้ำเค็ม ตามแต่เผ่าพันธุ์ดั้งเดิม เงือกประเภทที่อยู่ในทะเล จะมีการแบ่งอาณาเขตของตนเอง น่านน้ำใครน่านน้ำมัน ไม่มีการล้ำเส้น เงือกทะเลมีจ้าวสมุทรเป็นผู้ปกครองดูแล ชาวกรีก เรียกว่า <span style="color: rgb(153, 51, 153);">โปโซดอน</span> (หรือเรียกว่าโพไซดอน) มือถือสามง่ามด้ามยาว สวมมงกุฎเป็นชายชราร่างแกร่งขนาดใหญ่ยักษ์ มีหนวดเคราขาว ส่วนขาเป็นปลามีอำนาจในการควบคุมท้องทะเล สามารถสร้างพายุ และค่อยดูแลสัตว์ในทะเล เงือกทะเลของฝรั่งจะมีหลากหลายพันธุ์ ที่เด่นดังเห็นจะเป็นพวก ไซริง ที่คอยว่ายน้ำวนจนเกิดเป็นหมอก แล้วขับกล่อมด้วยเสียงเพลงที่เป็นมนตราสะกดชาวเรือผู้ผ่านท้องน้ำเข้าเขตพวกตนมาให้หลงเคลิบเคลิ้ม แล้วเงือกพวกนี้จะจับคนกินเป็นอาหาร หรือจะเป็นอีกประเภทที่คอยทำให้เรือที่ผ่านหลงทางมองไม่เห็นชนโขดหิน หรือลวงคน โดยการปีนปายเกาะขึ้นบนเรือ สาวงามร่างเปลือยเปล่าเย้ายวน กะลาสีทั้งหลาย ให้เผลอแล้วฉุดลงทะเลจับกิน อีกชนิดคือพันธุ์ <span style="color: rgb(153, 51, 153);">ไซบีเรียร่า</span> คือเงือกกินคนคอยลวงคนว่าตกน้ำ พอมีคนผ่านมาเห็นแล้วจะกระโดดลงไปช่วย มันก็จะดึงลงสู่ทะเลลึก แถมพันธุ์นี้จะมีหอกเป็นอาวุธ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอาวุธป้องกันที่ได้มาจาก <span style="color: rgb(153, 51, 153);">โพไซดอน</span> แต่เดิมพวกนางยังไม่ได้อาวุธ ก็มีเหตุที่มาเป็นตำนานว่า</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);">ครั้งหนึ่งเคยมีคนเห็นเงือกเพียงท่อนบน เขานั่งมาบนแพที่ต่อ นางเงือกแสร้งทำตาย เขาเข้าไปดูใกล้ๆ มันจับเขาๆต่อสู้ เงือกกัดขาเขาจนขาดแล้วหนีไป เขาเห็นหัวเงือกมากมายหลายสิบๆหัวลอยรอเขาเข้าไป ดังนั้นเขาจึงหยุดพักทำการสร้างหอกเป็นอาวุธขึ้นมาก่อน เมื่อไปถึงหัวเงือกเหล่านั้น เขาจึงใช้หอกแทงทิ่มไปยังหัวเงือกที่โผ่ลขึ้นมาทันที ด้วยความโกรธที่มันบังอาจมากัดขาจนขาด เมื่อฆ่าเงือกเหล่านั้นตายเกือบหมดสิ้น เขาจึงขึ้นพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ก็โชคร้ายจู่ๆ ก็มีคลื่นยักษ์ถาโถมจมหมู่บ้านทันที</span></p><p align="center"><span style="color: rgb(255, 102, 102);">เงือกประเภทที่อยู่น้ำจืด<a href="http://URL">TEXT</a><br /></span></p><p align="center"><span style="color: rgb(51, 51, 51);"></span> </p><div class="blogger-post-footer">เต็ม</div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03175817562688804152noreply@blogger.com3