วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
เงือก...2,000 ปี
เงือกตัวนี้ได้รับความคุ้มครอง และอยู่ในครอบครองของศาสนาโตชิน ถือว่าเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นในสมัยนั้น คือ เมืองฟูจิโนะมิยา ใกล้กับฐานภูเขาไฟฟูจิยามา เงือกตัวนี้มีความแปลกที่ไม่เหมือนเงือกตัวใดที่พบมาก่อนเลย คือ จัดให้มีความยาวถึง 170 เซนติเมตร อายุก็มากที่สุดนับจากค้นพบมา คือ อายุราว 1,400 ปี หากนับถึงวันพบซากเป็นปี ค.ศ. บวกอายุจริงที่ประเมินไว้รวมกันเข้าแล้วก็ปาเข้าไปเกือบ 2,000 ปี เลยทีเดียว ( ถ้าเป็นพ.ศ. บวกเข้า 543 ป๊ ก็มีอายุสองพันกว่าปีแล้ว)
มัมมี่เงือกญี่ปุ่น
เงือกตัวนี้ดังมากในบรรดาเงือกญี่ปุ่นทั้งหมด เหตุที่มีชื่อเสียงดังเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ใช่เพียงแค่อายุมากเท่านั้น แต่เป็นเพราะขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตอาจสูงใหญ่กว่าคนบางคนด้วยซ้ำ อีกทั้งมันไม่ได้ยกกำมือขึ้นแนบแก้ม มีเพียงดวงตาเบิกโพรงแสดงความตกใจ ดังที่เคยได้ยินได้กันเห็นมาแล้ว นางเงือกตัวนี้ยังมีรูปร่างที่ยาวเกินเหตุคล้ายไม่สมส่วนกล่าวคือ ส่วนหางที่เป็นปลามีความยาวเพียง 20 เซนติเมตรเท่านั้น แถมบนศีรษะก็หัวล้านแต่ไม่ถึงกับเลี่ยน พอมีประปราย( อาจข้ามกาลเวลาอยู่มานานผมจึงหลุดร่วงหมด) แล้วที่ดูตลกเห็นจะเป็นเส้นผมกลางหน้าผากห้อยย้อยลงมาที่ปรายจมูก ใช่เพียงแค่นี้ที่ว่าไม่เหมือนเงือกอื่นใดอีกนั้นก็คือ ที่อุ้งมือเธอยังมีพังผืด แบบตีนกบ ตามด้วยเล็บที่ยาวแหลมคม เห็นแล้วให้เสียวลำคอดีแท้..ดูที่ดวงตาเบิกกว้างนั้นก็ยาวเลยปาก ความสงสัย และข้องใจของนางเงือกตนนี้คงเป็นที่สัดส่วน หากนำมาพิจารณามันก็ออกจะแปลกๆสักนิด
เพียงช่วงล่างของหางปลายาว 20 ซม. ที่เหลือ 150 เป็นช่วงคนนั้น ทำให้คิดกันว่าแล้วสรีระภายใน จะเป็นโครงกระดูกแบบมนุษย์หรือเปล่า .... น่าสงสัยที่สุด เพราะความสูงของสตรีประมาณเท่าเงือกนาวนี้เหมือนกัน? เงือกวัย 2,000 ปี ตนนี้ผ่านลมฝนการเดินทางข้ามห้วงมหาสมุทร และการโยกย้ายเพื่อออกแสดงโชว์ไปทั่ว จึงทำให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรม ตามผิวหนังด้านนอกก็ผุกร่อน อันเกิดจากการกัดแทะของผีเสื้อราตรีกับแมลงกลางคืน มันคือ มัมมี่เงือกที่มีปริศนาคาใจ และเป็นที่ใคร่รู้จักของชาวโลกมากที่สุด
วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ตอน เงือกซากุระ
นางเงือกที่ว่านี้....อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ดินแดนแห่งดอกซากุระบาน เมืองที่เห็นพระอาทิตย์อุทัยก่อนใครอื่นแล้วเป็น ประเทศที่แวดล้อมด้วยเกาะแก่งจำนวนมากมาย มีพื้นน้ำล้อมรอบจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมประเทศญี่ปุ่นมีนางเงือกเยอะมาก หรือเป็นแหล่งถิ่นที่อยู่ เมืองบาดาลของพวกเงือกคนครึ่งปลา อมนุษย์ที่คอยจ้องจมเรือแล้วกินผู้ผ่านน่านน้ำดังคำกล่าวหาจริงหรือ?
งานวัด
ณ เมืองเอโดะ ปัจจุบัน คือกรุงโตเกียว ได้มีงานเทศกาลรื่นเริง ลักษณะการจัดงานเหมือนงานวัดบ้านเราเปี๊ยบ! มีบรรยากาศสนุกสนานครึกครื้น และครื้นเครงเอามากๆ ในยุคนั้นบ้านเมืองของญี่ปุ่นไม่ได้เจริญ จนต้องแออัดยัดเยียดเหมือนทุกวันนี้ มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ การจัดงานในสมัยก่อน เขาจะทำกันที่ทุ่งร้างไม่ก็ป่าหญ้า หรือในที่สาธารณะต่างๆ คนจัดต้องไปแผ้วถางเอาเอง
จากนั้นพวกคณะละครสัตว์ นักมายากล และสินค้าพวกงานช่างฝีมือต่างๆ จะมารวมทีมที่งานนี้งานเดียว อีกทั้งยังมีสารพัดสัตว์แปลกประหลาดนำมาโชว์ ชาวเอโดะในยุคนั้นมีความเชื่อว่า ถ้าได้ชมสัตว์ประหลาดแปลกๆแล้ว จะทำให้โชคดีเดินมาสู่ตัว หรืออาจมีทรัพย์สินเงินทอง ความมั่งคั่งร่ำรวยเกิดขึ้น รวมทั้งสุขภาพที่ร้ายให้กลายเป็นดี เหมือนเป็นการไปขอพร ขอในสิ่งที่ตนต้องการจากสิ่งเหล่านี้ ( เหมือนบ้านเราจังเลย ) นอกจากนี้ที่พิเศษหน่อยก็คือ การนำของแปลกประหลาดมาโชว์ที่เอโดะเวลานั้น จะต้องทำการป่าวประกาศชวนเชิญ สรรพคุณเกินจริง หรือรูปแบบของที่ไม่ซ้ำใครมาให้เห็นสักเล็กน้อย ก็จะทำให้ชาวบ้านแห่แหนมาชมมากยิ่งขึ้น
ส่วนใหญ่จะเป็นของมาจากโลกตะวันตก โลกที่มีอารนธรรมใหม่ๆ การประดิษฐ์คิดค้นของที่คนในยุคนั้นยังไม่เคยเห็น เช่น รูปภาพสัตว์ที่มีจำนวนมากมาย ดูแล้วซับซ้อน ลายตา เกิดจากการใช้เทคนิคของกล้องประเภทกล้องลวงตา เป็นต้น
เงือกไม่ใช่ของแปลก?
เมื่อครู่เราได้พูดถึงสัตว์ประหลาดต่างๆ ที่นำมาออกงานที่ญี่ปุ่นนั้น เขาบอกว่า สัตว์ประหลาดของชาวเมืองเอโดะต้องไม่ใช่นางเงือก?? ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ชาวญี่ปุ่นยุคโน่น เคยพบเห็นเงือก และรู้จักกับนางเงือกเป็นอย่างดี และคุ้นเคยกันมาช้านานแล้ว...ดังนั้นในงานเทศกาล หากนำนางเงือกมาออกแสดง เขาจะไม่นับให้เป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดอะไรเลย คือไม่ได้รับความสนใจเท่าที่คาด หรืออาจประมาณว่า เงือกเหมือนสัตว์ที่มีดื่นดาษทั่วไปของญี่ปุ่นแล้ว?
ดังนั้นเมื่อชาวต่างชาติที่เข้ามาที่เอโดะ ได้ออกเที่ยวชมงานเทศกาล แล้วได้พบกับเงือกที่ว่ายน้ำเป็นๆ โชว์อยู่ในตู้ หรือบ่อน้ำจำลอง เป็นธรรมดาจะต้องตื่นตาตื่นใจ ที่น้อยนักจะมีใครได้พบเห็นนางเงือกที่มีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องลงทุนนั่งเรือเดินเรือในทะเล ให้ยุ่งยาก และเสี่ยงภัยแต่ประการใด
เงือกญี่ปุ่นจึงเริ่มดัง และมีชื่อเสียงข้ามน้ำข้ามทะเลไปทางฝั่งยุโรป และอเมริกา
ตลาดค้านางเงือก
เงือกจึงป็นของแปลกพิสดารในสายตาของฝรั่งตาน้ำข้าว งานใดมีเงือกออกโชว์ เจ้าของงานนั้นรับเละ...เพราะฝรั่งนิยมของแปลกจากจุดนี้เองธุรกิจการซื้อขายนางเงือกจากเจ้าของอมนุษย์ จึงเกิดขึ้นเป็นการค้า มีการล่า จับพวกเงือกมาขาย พวกพ่อค้าหัวใสเล็งเห็นความร่ำรวยที่จะได้จากเงือก เม็ดเงินจากโลกตะวันตก และยุโรปจะหลั่งไหลเข้ามาอย่างล้นเหลือ....เงือกตัวหนึ่งๆจึงมีราคาสูงตามความต้องการของท้องตลาด แล้วดูเหมือนจะเริ่มหายากขึ้นทุกที กิจการงานขายของ และละครสัตว์จึงเปิดตัวนางเงือก โด่งดังที่สุดในยุคศตวรรษที่18แน่นอนว่า ตลาดค้ามนุษย์เงือกที่ดังที่สุดในเวลานั้น คือประเทศญี่ปุ่น และเอเชียตอนใต้
แต่แหล่งเงือกที่ขายดีคนให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือนางเงือกที่มาจากหมู่เกาะบาร์นัมของ ฟิจิ ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นต่างกับเงือกที่อื่นๆ ก็เป็นได้
เมื่อดังมาก จากเงือกที่ออกโชว์เคยมีชีวิตแหวกว่ายในน้ำอวดผู้คนได้ ก็เหลือเพียงซากของเงือกที่ตายไปแล้วเท่านั้น เจ้าตัวนี้เหมือนจะป๊อบปูล่าที่สุด เมื่อ 200กว่าปีที่แล้ว เมื่อเงือกดังมาก คนขี้สงสัย คนจับผิดก็ย่อมจะมี โดยกล่าวหาว่า....
เงือกปลอม
ในปี ค.ศ.1810เงือกที่นำมาโชว์นั้น เป็นเงือกปลอมที่ทำขึ้นมา โดยช่างฝีมือชาวญี่ปุ่นที่เป็นชาวประมง เหตุผลที่ว่าปลอมก็เพราะเขาทำเนียน และดีเกินจริง?
คนที่กล่าวหายังบอกอีกว่า มันสมบรูณ์จัด ยิ่งเมื่อได้ดูบ่อยๆนานๆเข้าก็จะสังเกตุเห็นได้ว่า นางเงือกที่นำมาโชว์นั้นมีรอยเย็บเป็นตะเข็บ ส่วนกะโหลกน่าจะเป็นหัวลิง และส่วนตัว ก็คือปลาตัวโต นำทั้งสองมาเย็บประกอบเข้าด้วยกันแต่งอีกนิดก็เหมือนจริงแล้ว
แล้วช่างญี่ปุ่นเขารู้ได้อย่างไร?
॥।ว่าเงือกมีรูปร่าง ลักษณะหน้าตาเป็นมาแบบใด ทำไมต้องมีใบหน้าแบบเดียวกันหมด คือหน้าตาน่าเกลียด น่ากลัว มีฟันแหลมคม กำสองมือยกขึ้นแนบแก้ม ทำไมต้องลักษณะนี้? ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องราวตำนานของเงือกจะหมายถึง สตรีครึ่งปลา ที่มีรูปร่างสวยงาม ใบหน้าอ่อนหวาน มีเสียงไพเราะมิใช่หรือ? เหตุใดจึงอัปลักษณ์ น่าสยองอย่างนี้!!
นางเงือกประจำวัด
ที่ญี่ปุ่นมีเงือกมาก เป็นเรื่องไม่ผิดปกติอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าเราจะพบเห็นซากมัมมี่ของนางเงือก ที่ไปปรากฎตัวอยู่ตามวัดของญี่ปุ่นหลายวัด แล้วจะทำการะทักษ์รักษาซากนั้นเป็นอย่างดี สืบทอดต่อๆกันมา
ห้ามใครแตะต้องและยุ่งอย่างเด็ดขาด!!
อย่างเช่นในปีค.ศ.1682(ราว 326ปีก่อน) วัดซุอิไรจิ ใน โอซาก้า ของญี่ปุ่น ได้รับของขวัญพืเศษจากพ่อค้าชื่อ ซาคาอิ อาเระ เขาได้ถวายกัปปะ และมังกรตัวเล็กๆให้เป็นกรรมสิทธิในการครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ของทั้งสองสิ่งนั้นขุดได้จากใต้ดิน ที่อยู่ติดกับข้างวัดนะเอง
หรือจะเป็น วัดโมะอุชิ บนเกาะฮอนซู ในเมืองคาชิวาซากิ อยู่ในเขตนิไอกาทา ได้รับซากศพของนางเงือก ทางวัดได้ทำการอนุรักษ์เก็บรักษาไว้อย่างดียิ่ง ด้วยลักษณะคือนางเงือกทำท่าคล้ายกำลังโพลต์ท่าให้ ในท่ากำมือยกขึ้นไว้ข้างแก้มทั้งสองมือ คล้ายตกใจ หรือดีใจก็ไม่รู้ ( เงือกญี่ปุนส่วนใหญ่จะอยู่ในท่านี้ทุกตัว ท่าฮิตมั้ง ) เงือกตัวนี้มีความยาว 30เซนติเมตรเท่านั้น
ต้องซ่อนนางเงือก
แต่ละวัดจะมีการเก็บรักษาดูแลนางเงือกเป็นพิเศษ คือ เก็บไว้ในหีบไม้ หรือกล่องไม้ที่ทำขึ้นเฉพาะการเก็บซ่อนเงือกนี้ก็เพื่อไม่ให้คนสอดรู้สอดเห็นมาสังเกตุเห็น หรืออาจมาทำการพิสูจน์ตั้งคำถามต่างๆ นานา ถึงที่มาของนางเงือก
หรืออีกนัยการเก็บซ่อน นางเงือกไว้นั้น ก็อาจเพื่อป้องกันหัวขโมย ที่ต้องการนำไปขายให้คนต่างชาติในราคาที่สูงมาก ดังนั้นทางวัดจึงต้องทำการเก็บรักษาไว้เป็นความลับที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งปิดมากเพียงไร ก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนสนใจใคร่อยากรู้อยากเห็นมากยิ่งๆขึ้น เมื่อมีคนก้าวเข้ามาในวัด เริ่มคำถามเกี่ยวกับซากนางเงือกด้วยท่าทางที่ดีสุภาพ ให้เกียรติ เป็นมิตร หรือเมื่อดูแล้วน่าเชื่อถือ พอไว้วางใจได้ เขาก็จะได้รับการต้อนรับ และตอบคำถามที่ดีกลับไป หรืออาจได้เห็นนางเงือกตัวนั้นๆด้วย
แต่ถ้ามาไม่ดี หรือเพียงแสดงท่าทางไม่เชื่อลบหลู่ หรือดูถูก ทางวัดจะปิดประตูปฏิเสธทุกคำถาม อันหมายความว่าไม่ตอนรับ
การที่แต่ละวัดต้องพิทักษ์รักษาเงือกย่อมมีเงื่อนไขที่ต่างกันออกไป อาทิอย่างวัดคารุคายาโคะ อยู่นอกเมืองฮาชิโมโตะ ในเขตปกครองของวาคายามะ ได้มีเงือกตัวหนึ่ง ที่มีความยาวกว่า 50เซนติเมตร บนใบหน้าเงือกตัวนี้กำลังยิ้มกว้างให้เห็นเขี้ยว และฟันที่แหลมคม เห็นแล้วน่ากลัวอย่างชัดเจน หน้าตาของเงือก ถ่ายทอดอารมณ์ของความโกรธ ระคนปนกลัว ร่างถูกปกปิดหุ้มด้วยเกล็ดแบบปลา มีสะเก็ดคล้ายร่องรอย ของครีบติดอยู่อันหนึ่งบริเวณกลางหว่างทรวงอก ส่วนท่าทางจะอยู่ในลักษณะมาตรฐานเดียวกันกับตัวที่กล่าวมาแล้ว สำหรับวัดนี้เงือก คือความสวยงาม แถมหายากที่ต้องสงวน และอนุรักษ์ไว้
แหม!กำลังสนุก เอาไว้ต่อตอนจบของนางเงือกในภาคสรุปว่าเงือกมีตัวตน จริงหรือเพื่อการค้ากันแน่..พลาดไม่ได้ทีเดียว..จะบอกให้
วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับเงือกนั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากในหลายๆประเทศ เราเพียงนำมาบางส่วนเท่านั้น เงือกที่แท้จริงว่ากันว่า พวกเธอคือ ตัวแทนของความชั่วร้าย เป็นด้านมืดดำ หรือเป็นปิศาจแห่งความชั่วร้าย เพียงแค่ต้องการรู้เรื่องใดทีเกี่ยวกับคนชั่ว การกระทำที่ชั่วช้าแล้วหละก็...เงือกสามารถรู้ และตอบได้ แต่บางทีก็ต้องเสี่ยงว่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่?
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551
กำเนิดนางเงือก
๑ ...กำเนิดเงือก
เงือกคงไม่ต่างอะไรกับสัตว์ หรือสิ่งที่มีชีวิตบนโลกมนุษย์
ของเราเท่าใด ย่อมจะมีกำเนิดความเป็นมาที่พิสดารพอสมควร
แต่ละชนชาติก็มีกำเนิดที่ต่างกันออกไป รูปลักษณ์ภายนอกเพียง
คล้ายกันเท่านั้น ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง อย่างหนึ่งที่ควรทราบ
กันก่อนก็คือ กำเนิดของเงือกล้วนอัศจรรญ์เหลือเชื่อ ซึ่งอาจเป็น ภาพลักษณ์ สัญญลักษณ์
ความ หมายอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้ เงือกมีอยู่ทั่วโลก ทุกทวีปในหลายๆ ประเทศจะต้องมีหรือ เคยมีเงือกมาก่อน??
นางเงือกอัสซีเรีย
มีกำเนิดก่อนคริสต์ศักราชราว 1,000 ปี จากตำนานได้กล่าวถึงกำเนิดของเงือกว่า ในอดีตมีเทพธิดานางหนึ่งชื่อว่า เชมิรามิส ได้ตกหลุมรกัหนุ่มเลี้ยงแกะ ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนเข้า เธอทำให้คนเลี้ยงแกะตาย ด้วยความเสียใจปนละอายใจ เธอจึงกระโดดลงสู่ทะเลสาบ คงลืมไปว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์ เพราะตกนำเธอก็ไม่จมยิ่งทำให้เธอแค้นใจหนัก เธอได้แปลงร่างให้ครึ้งล่างที่เดิมเป็นขากลายป็นหางปลา แล้วที่สุดได้กลายเป็นนางเงือกดังที่ทุกคนรู้จักกัน
นางเงือกเขมร
มีกำเนิดที่สืบด้วยสองตายายเคยฝันว่า ถ้าหลานได้งูเป็นผัวจะรำรวยมีเงินทองมหาศาล ทั้งสองจึงไปหางูเหลือมมาไว้ในห้อง จัดการส่งตัวหลานเข้าหอเป็นเมียงู พอเข้าไปสักครู่หลานก็บอกงูรัดร้องให้ช่วย สองตายายก็ว่า ผัวกอดรัดนิดหน่อยก็ร้อวด้วย จึงไม่สนใจ ต่อมาหลานสาวก็ร้องออกมาอีกว่า งูกินตัวเข้าไปครึ่งตัวแล้ว สองตายายก็ทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าเป็นสาวย่อมเขินอายหาเหตุเป็นธรรมดา จนเช้าก็ยังไม่มีเสียงหลานพูด ภายในห้องในห้องก็เงียบสงัดให้ผิดสังเกต ทั้งสองจึงเข้าไปในห้องหอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า....ผัวงูได้กินหลานเข้าไปอยู่ในท้องแล้ว จึงช่วยกันฆ่างูผ่าเอาหลานออกมา เดชะบุญหลานยังไม่ตาย อีกทั้งตามเนื้อตามตัวก็มีแต่กลิ่นงูติด ล้างเท่าไรก็ไม่หมดจึงพากันไปที่ทะเล พอถึงทะเลหลานสาวได้กระโดดลงนำช่วงล่างกลายเป็นปลา แล้วเป็นนางเงือกดำหายไป
ความเชื่อ และตำนานเงือก
น้อยนักที่จะมีคนเล่าเรื่องกำเนิดหรือมีหลักฐานเกี่ยวกับเหล่าเงือก อมนุษย์ครึ่งบกครึ่งนำ หรือครึ่งคนครึ่งปลาตนนี้ได้ เงือกคงเป็นสายพันธ์ที่อยู่อีกมิติหนึ่งกล่าวกันว่า พวกเงือกจะไม่มีวันแก่ตายเช่นมนุษย์ อายุพันปี ก็แค่เริ่มต้นแรกสาวเท่านั้น เวลาของที่อยู่หรือดินแดนนางเงือกนั้น เดินช้ากว่าของชาวโลกเรามาก คนโบราณในโลกเราแต่ละแห่งก็มีความเชื่อ และตำนานต่างกัน ตามอารยธรรมความเป็นอยู่ของพวกเขา อย่างของไทยที่ดัง และรู้จักกันดี จากวรรณคดีไทยเรื่อง พระอภัยมณี รวมทั้เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนสุวรรณมัจฉา ได้กล่าวถึงนางเงือกเช่นกัน หรือจะเป็เรื่อง พระอุณรุท พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กล่าวถึงเงือกไว้ตอนหนึ่งว่า เสด็จนั่งยังท้ายเภตรา ชมหมู่มัจฉาน้อยใหญ่ ว่ายคลำดำดั้นอยู่ไวๆ ที่ในมหาชลธาร เงือกงามหน้า กายคล้ายมนุษย์
ตำนาน เงือกญี่ปุ่น
ก็มีเรื่องเล่าใช้น้อย ที่ดังที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องของ แม่ชีบิคุนีพันปี ที่ไม่มีวันตาย เรื่องมีอยู่ว่าหญิงสาวคนหนึ่ง ได้ช่วยนางเงือกตนหนึ่งที่ชายหาด เงือกต้องการตอบแทนบุญคุณ นางจึงมอบเนื้อเงือกให้ แล้วบอกว่า เป็นของวิเศษเมื่อใครได้กินแล้วจะไม่แก่เฒ่า พอกินเข้าไปแล้วเธอก็ไม่ตาย แต่เพื่อนฝูงคนคนรู้จักตายกันไปหมด ในที่สุดเธอจึงบวชเป็นชี ต่อจากนี้เราไปดูดินแดนแห่งเทพเจ้าที่ใครๆต้องการจะไปรู้กันว่าเงือกเมืองเขาเป็นมายังไง
ตำนาน เงือกกรีก ดินแดนแห่งเทพ
ตำนานเกี่วยกับเงือกได้เล่าไว้ว่า ณ ชายหาดแอนธีดอนที่ร้าง ไม่มีใครเคยกล้าขึ้นฝั่งสักราย ด้วยกลัวในอำนาจเร้นลับประหลาดๆ แต่กลอคัสหนุ่มหาปลาที่ไม่เคยกลัวสิ่งใดเลย เขาได้นำเรือจอด และเอาปลาที่จับได้ขึ้นฝั่ง เพื่อนับจำนวนปลา ( ที่ตายแล้ว ) เขามองดูปลาที่จู่ๆ ก็ดิ้นมีชีวิตขึ้นมาใหม่แล้วพากันดิ้นลงสู่ทะเล หายไปทีละตัวจนหมด ขณะที่ดูอยู่ปากก็เคี้ยวใบกก นำจากใบกกทำให้เขารู้สึกรักนำ ส่วนขาก็กลายเป็นหางปลา ภาวะความรู้สึกของมนุษย์ค่อยๆสูญหายกลายเป็นปลาไปเสียแล้ว เขาได้แหวกว่ายดำดิ่งสู่ท้องทะเลหายไป กลายเป็นตำนานเรื่องยาวที่เล่าสู่กันฟังมาถึงวันนี้
ความเชื่อทางยุโรปโบราณ ( กลุ่มไอริส ) ได้เล่าถึงความสัมพันธ์ ความช่วยเหลือให้กัน และกันระหว่างเงือกกับมนุษย์ แล้วมอบสิ่งตอบแทนเป็นความรู้ทางการแพทย์ หรือการเตือนพายุในท้องทะเล เงือกมีมากมายหลายเผ่าพันธุ์ มีทั้งดี และชั่ว ทั้งงดงาม และอัปลักษณ์
พูดถึงชาวไอริชเขาก็มีตำนานการเกิดเงือก ในสมัยสงครามกรุงทรอย ที่เคยนำมาสร้างเป็นภาพยนต์แล้ว นางเงือกพวกนี้เกิดจากเปลือกไม้ของซากเรือรบ ก่อเกิดเป็นเลือดเนื้อ แต่ก็มีอีกด้านหนึ่งบอกว่า เงือกคือผู้หญิงนอกศาสนา ที่ถูกเนรเทศออกไปจากแผ่นดิน หรือว่ากันไปไกลกว่านั้นก็คือ เงือกเป็นลูกๆ ของฟาโรห์ที่จมน้ำในทะเลแดง?
แหล่งที่อยู่ของนางเงือก
ถือเราจะรู้ว่าพวกเงือกทั้งหญิง และชายจะอยู่ในน้ำแล้วก็ตามที แต่น้ำแบบไหนล่ะ ที่พวกเงือกนิยมใช้เป็นที่อยู่อาศัยกัน...เงือกมีทั้งน้ำจืด และน้ำเค็ม ตามแต่เผ่าพันธุ์ดั้งเดิม เงือกประเภทที่อยู่ในทะเล จะมีการแบ่งอาณาเขตของตนเอง น่านน้ำใครน่านน้ำมัน ไม่มีการล้ำเส้น เงือกทะเลมีจ้าวสมุทรเป็นผู้ปกครองดูแล ชาวกรีก เรียกว่า โปโซดอน (หรือเรียกว่าโพไซดอน) มือถือสามง่ามด้ามยาว สวมมงกุฎเป็นชายชราร่างแกร่งขนาดใหญ่ยักษ์ มีหนวดเคราขาว ส่วนขาเป็นปลามีอำนาจในการควบคุมท้องทะเล สามารถสร้างพายุ และค่อยดูแลสัตว์ในทะเล เงือกทะเลของฝรั่งจะมีหลากหลายพันธุ์ ที่เด่นดังเห็นจะเป็นพวก ไซริง ที่คอยว่ายน้ำวนจนเกิดเป็นหมอก แล้วขับกล่อมด้วยเสียงเพลงที่เป็นมนตราสะกดชาวเรือผู้ผ่านท้องน้ำเข้าเขตพวกตนมาให้หลงเคลิบเคลิ้ม แล้วเงือกพวกนี้จะจับคนกินเป็นอาหาร หรือจะเป็นอีกประเภทที่คอยทำให้เรือที่ผ่านหลงทางมองไม่เห็นชนโขดหิน หรือลวงคน โดยการปีนปายเกาะขึ้นบนเรือ สาวงามร่างเปลือยเปล่าเย้ายวน กะลาสีทั้งหลาย ให้เผลอแล้วฉุดลงทะเลจับกิน อีกชนิดคือพันธุ์ ไซบีเรียร่า คือเงือกกินคนคอยลวงคนว่าตกน้ำ พอมีคนผ่านมาเห็นแล้วจะกระโดดลงไปช่วย มันก็จะดึงลงสู่ทะเลลึก แถมพันธุ์นี้จะมีหอกเป็นอาวุธ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอาวุธป้องกันที่ได้มาจาก โพไซดอน แต่เดิมพวกนางยังไม่ได้อาวุธ ก็มีเหตุที่มาเป็นตำนานว่า
ครั้งหนึ่งเคยมีคนเห็นเงือกเพียงท่อนบน เขานั่งมาบนแพที่ต่อ นางเงือกแสร้งทำตาย เขาเข้าไปดูใกล้ๆ มันจับเขาๆต่อสู้ เงือกกัดขาเขาจนขาดแล้วหนีไป เขาเห็นหัวเงือกมากมายหลายสิบๆหัวลอยรอเขาเข้าไป ดังนั้นเขาจึงหยุดพักทำการสร้างหอกเป็นอาวุธขึ้นมาก่อน เมื่อไปถึงหัวเงือกเหล่านั้น เขาจึงใช้หอกแทงทิ่มไปยังหัวเงือกที่โผ่ลขึ้นมาทันที ด้วยความโกรธที่มันบังอาจมากัดขาจนขาด เมื่อฆ่าเงือกเหล่านั้นตายเกือบหมดสิ้น เขาจึงขึ้นพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ก็โชคร้ายจู่ๆ ก็มีคลื่นยักษ์ถาโถมจมหมู่บ้านทันที
เงือกประเภทที่อยู่น้ำจืดTEXT